AFP - ซุปเปอร์สตาร์กังฟูแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ "เจ็ต ลี-หลี่เหลียนเจี๋ย" (Jet Li) ยืนยันเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถึงการโอนสัญชาติเป็นชาวสิงคโปร์ นักแสดงวัย 47 ปี ยังกล่าวว่าต้องการให้ทายาททั้ง 2 คน เติบโตมาในสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี, ได้ใช้สองภาษา และไม่ถูกรังควานจากเหล่าปาปารัซซี่
"ลูกผมน่าจะได้รับการศึกษาที่ดี, ได้เรียนสองภาษา, ในสังคมที่มีเสถียรภาพมั่นคง และลูก ๆ ยังจะไม่ต้องถูกรังควานจากพวกช่างภาพ ผู้สื่อข่าวด้วย" หลี่เหลียนเจี๋ย กล่าวระหว่างงานสัมนาแห่งหนึ่งที่สิงคโปร์ นักแสดงวัย 47 ปี ยังยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ที่ผู้คนให้ความสนใจถึงเรื่องการย้ายถิ่นฐานของเขามากถึงขนาดนี้
"มันตลกดีเหมือนกันนะครับ ที่ผมถือพาสปอร์ตสหรัฐฯ และอยู่ที่นั่นมาเกือบ 20 ปี เต็ม แต่ไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่พอมาที่สิงคโปร์ ทุกคนกลับสงสัยกันมาก ว่าทำไมผมถึงย้ายมาอยู่ที่นี่" ซึ่งนักแสดงชื่อดังที่มีพื้นเพเป็นชาวปักกิ่งโดยกำเนิด ไม่ได้ยืนยันว่าเขายังถือสัญชาติจีน และสหรัฐฯ อยู่อีกหรือไม่ แต่ตามกฏหมายของสิงคโปร์แล้วไม่อนุญาตให้ประชาชนถือพาสปอร์ตสองใบ
โดย เจ็ต ลี อธิบายว่าเขาตัดสินใจตั้งรกรากที่เมืองลอดช่อง เพราะเชื่อมั่นในความปลอดภัย และระบบการศึกษาของที่นี่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนการสอน ในภาษาอังกฤษ และจีนกลาง อย่างเท่าเทียมกัน
สิงคโปร์ กลายเป็นที่สนใจของคนดัง และผู้มีอันจะกินในประเทศต่าง ๆ จากทั่วโลก เพราะชื่อเสียงด้านความปลอดภัย และอัตราการเสียภาษีที่ค่อนข้างต่ำ โดยข่าวเรื่องการโอนสัญชาติ และย้ายถิ่นฐานของ เจ็ต ลี เริ่มเป็นที่พูดถึงภายหลังมีข่าวว่าเขาจ่ายเงิน 20 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เพื่อซื้อบ้านหลังหนึ่งที่นี่ เมื่อปี 2009
ซึ่งนอกจาก เจ็ต ลี แล้ว ในปี 2008 นักแสดงชื่อดังชาวจีนแผ่นดินใหญ่อีกคนอย่าง กงลี่ (Gong Li) ก็โอนสัญชาติเป็นสิงคโปร์ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในครั้งนั้น กงลี่ ต้องตกเป็นเป้าถูกวิจารณ์ในแง่ลบจากชาวจีนเป็นจำนวนมาก
สำหรับในกรณีของ เจ็ต ลี เคยกล่าวว่าหัวใจของเขายังคงเป็นชาวจีน ดาราชื่อดังผู้เป็นที่รู้จักจากหนังอย่าง เสี้ยวลิ้มยี่ และหวงเฟยหง ยังก่อตั้งมูลนิธิ One Foundation เพื่อช่วยเหลือชาวจีนผู้ด้อยโอกาสในด้านต่าง ๆ รวมถึงร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติด้วย
Manager Online