"เติ้งกวงหยง" (Alan Tang) ลาโลกแล้ว: ปิดตำนานพระเอกผู้สร้าง "ขบวนโหดมาโปรดสัตว์"

นักแสดงรุ่นใหญ่ "เติ้งกวงหยง" (Alan Tang / Tang Kwong Wing) เสียชีวิตลงแล้วในวัย 64 ปี ปิดตำนานนักแสดง/ผู้อำนวยการสร้าง ที่มีผลงานมากกว่า 60 เรื่อง และโด่งดังเป็นพิเศษในยุคหนังมาเฟียครองเมืองเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งมีผลงานเด่นที่แฟนหนังในยุคนั้นรู้จักกันดีอย่าง "หลังกระแทกฝา" และ "ขบวนโหดมาโปรดสัตว์"

The Standard รายงานข่าวเศร้าในวงการบันเทิงฮ่องกง กับการเสียชีวิตของ เติ้งกวงหยง นักแสดง/ผู้อำนวยการสร้างวัย 64 ปี ที่สิ้นลมลงในบ้านที่มงก๊ก ในช่วงประมาณ 3 ทุ่มของวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่สันนิฐานเบื้องต้นว่า เป็นการเสียชีวิตจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก ระหว่างนอนหลับพักผ่อน โดยสาวใช้เป็นคนพบศพ ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น

โดยลูกชายของนักแสดงผู้ล่วงลับได้กล่าวว่า “พ่อเสียชีวิตอย่างสงบ เราเสียใจที่ท่านจากไป และจะพยายามจัดงานศพให้สมกับเกียรติของท่านครับ” ขณะที่เพื่อนสนิทอย่าง เจิ้งจื่อเหว่ย ก็กล่าวด้วยความตกใจว่า “เขาร่างกายแข็งแรงมาตลอดเลยนะ อาทิตย์ก่อนเพิ่งไปเล่นกอล์ฟกับผมมาเอง”

เริ่มต้นด้วยบทบาทดาราวัยรุ่น

เติ้งกวงหยง เกิดเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 1946 ที่ ซุ่นเต๋อ กว่างตง ในจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวที่มีพี่สาว และพี่ชายสองคน หลังจากได้ย้ายตามครอบครัวมาพำนักที่ฮ่องกง เขาได้เริ่มต้นเส้นทางในวงการบันเทิง ตั้งแต่มีอายุเพียง 16 ปี ในหนังวัยรุ่นเรื่อง Student Prince หลังจากนั้นยังมีผลงานอย่างต่อเนื่อง ได้รับบทเด่นประกบคู่นักแสดงสาวชื่อดังในยุคนั้นทั้ง เซียวฟงฟง, เฉินเฉิน และ เฉินเป่าจู

หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยกฎหมายฮ่องกง เติ้งกวงหยง ก็เริ่มรับงานแสดงอย่างเต็มตัว และประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการเดินทางไปรับงานยังประเทศไต้หวัน โดยเฉพาะในหนังรักโรแมนติก ที่เขาได้ร่วมงานกับนางเอกชื่อดังหลายคน รวมถึง หลินชิงเสีย ในหนังเรื่อง Run Lover Run

สร้างตำนานหนังมาเฟีย

ในปี 1977 เติ้งกวงหยง เริ่มขยับขยายงานไปสู่การอยู่เบื้องหลัง ด้วยการก่อตั้งบริษัท The Wing-Scope เพื่อผลิตภาพยนตร์ของตนเอง มีผลงานหลายเรื่อง จนกระทั่งอีก 10 ปีต่อมาก็ตั้งบริษัท In-Gear Film ร่วมกับพี่ชาย เพื่อผลิตผลงานแนวแอ็กชั่นซึ่งได้รับความนิยมในช่วงนั้น และเป็นงานที่ทำให้แฟนหนังจดจำเขาได้ไปอีกหลายปี

ในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s ที่วงการภาพยนตร์ฮ่องกงอบอวลไปด้วยเสียงกระสุน และควันปืน หลังความสำเร็จของหนังเรื่อง "โหด เลว ดี" เติ้งกวงหยง ก็อาศัยกระแสดังกล่าวผลิตภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นอาชญากรรมออกมาหลายเรื่อง และดึงนักแสดงชั้นนำในยุคนั้นทั้ง หลิวเต๋อหัว และ โจวเหวินฟะ มาร่วมแสดงด้วย

ผลงานเหล่านี้ได้แก่ Flaming Brothers (หลังกระแทกฝา), Gangland Odyssey (รวมเป็นแก็งค์ ถึงจะแรงและอยู่รอด ), Return Engagement (ขบวนโหดมาโปรดสัตว์), Gun N' Rose (ขบวนฆาตไม่นับญาติ) และ Hong Kong Godfather (ขึ้นทำเนียบเจ้าพ่อเหือด) เป็นต้น เป็นงานที่เขาทั้งแสดงเอง, เขียนบท และอำนวยการสร้าง

แจ้งเกิด “หว่องกาไว”

ซึ่งในผลงานอย่าง Return Engagement และ Flaming Brothers เติ้งกวงหยง ได้ให้โอกาสให้งานกับนักเขียนหนุ่มที่มีชื่อว่า หว่องกาไว (หวังเจียเหว่ย) ได้เขียนบทให้กับหนัง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้ หว่อง กลายเป็นผู้กำกับที่มีผลงานระดับโลก และเปี่ยมไปด้วยสไตล์ส่วนตัวในเวลาต่อมา

เติ้งกวงหยง ยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ออกทุนให้กับผลงานสองเรื่องแรกของ หว่องกาไว ตั้งแต่ As Tears Go By ที่แม้จะกลายเป็นงานที่ขาดทุน แต่เขาก็ยังออกเงินให้กับยอดผู้กำกับได้สร้างหนังเรื่องที่สอง Days Of Being Wild ในเวลาต่อมาอีก

บทบาทการเมือง, พี่ใหญ่ในวงการ

นอกเหนือจากบทบาทในด้านงานบันเทิง เติ้งกวงหยง ยังเป็นนักประชาธิปไตยตัวยง และมีส่วนร่วมใน "ปฏิบัติการณ์นกสีเหลือง" (Operation Yellowbird) ที่ให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้ต่อต้านรัฐบาลจีน หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในจัตุรัสเทียนอันเหมิน ให้อพยพมายังฮ่องกงด้วย

ซึ่งหลังจากเริ่มอิ่มตัวกับงานแสดง และการสร้างภาพยนตร์ ในช่วงกลางยุค 90s เขาจึงหันไปทำธุรกิจร้านอาหารแทน ทิ้งให้ Kung Fu Scholar (จอมยุทธ์เจ้าสำราญ) เป็นผลงานสร้างภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย ขณะที่ Gun N' Rose ก็กลายเป็นผลงานการแสดงเรื่องสุดท้าย ปิดฉากอาชีพนักแสดงที่ทำมาอย่างยาวนานถึง 30 ปีเต็ม เมื่อปี 1993 นั่นเอง

ซึ่งแม้จะไม่ได้มีผลงานการแสดงมาเกือบ 20 ปีเต็ม แต่ เติ้งกวงหยง ก็ยังเป็นบุคคลที่ทุกคนในวงการ ต่างให้ความเคารพ และเรียกว่าเป็น “พี่ใหญ่” ของชาวบันเทิงฮ่องกง

Manager Online