เปิดใจ ผกก. Sex & Zen : ตอบทุกประเด็นหนังสุดฉาวแห่งปี

หนังโป๊สามมิติ, ผลงานสุดอื้อฉาว, สร้างข่าวโปรโมตหนัง, โดนแบนในแผ่นดินใหญ่, ชาวจีนแห่ข้ามแดนมาดู, ดาราเอวีจากญี่ปุ่น, ไดเร็คเตอร์คัท, การกลับมาของหนังเกรด III …. ทุกคำถามจากหนัง "สุดหวือหวา และอื้อฉาว" แห่งปี 3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy มีคำตอบที่นี่แล้ว โดยผู้กำกับ และมือเขียนบทตัวจริง
       
       มาร์ค วู และ คริสโตเฟอร์ ซุน อาจจะไม่ใช่คนทำหนังระดับเด่นดังอะไรของฮ่องกงนัก รายแรกเป็นนักเขียนบทที่มีผลงานทางโทรทัศน์เป็นส่วนใหญ่ ผลงานโดดเด่นที่สุดก็คือการเขียนบทหนังผีอย่าง The Eye 10 ขณะที่รายหลังก็ก้าวมาจากวงการวิทยุ, เบนเข็มไปทำโทรทัศน์ จนในที่สุดก็เดินทางมาถึสายงานภาพยนตร์
       
       แต่ผลงานล่าสุดจากทั้งสอง กลับกลายเป็นหนังที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก 3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนังโป๊สามมิติเรื่องแรกของโลก แม้ผู้สร้างจะยืนยันว่านี่ไม่ใช่หนังโป๊ แต่เป็นผลงานภาพยนตร์สไตล์เซ็กซี่แบบฮ่องกง ที่เรียกกันว่า “หนังเกรด III” ถึงอย่างไรมันก็กลายเป็นที่สนใจไปทั่วโลกแล้ว
       
       กว่า 18 เดือนที่ข่าวการสร้าง, คัดเลือกนักแสดง, การถ่ายทำ จนไปถึงขั้นตอนทำประชาสัมพันธ์ และเข้าโรงฉาย 3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy กลายเป็นข่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการเดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งผู้เขียนบท และผู้กำกับได้ให้โอกาส “Super บันเทิง” ไขข้อสงสัยทั้งหมดที่มีต่อผลงานชิ้นนี้
       
       คริสโตเฟอร์ ซุน เริ่มรื้อฟื้นถึงโครงการนำภาพยนตร์ Sex and Zen กลับมาสร้างใหม่อีกครั้ง ซึ่งถึงตอนนี้ก็เป็นโครงการมีที่อายุยาวนานถึงกว่า 10 ปีแล้ว
       
       มันเป็นเรื่องที่ยาวจริงๆครับ ประมาณเมื่อ 10 ปีก่อนเราสองคนได้คุยกัน ว่าอยากจะลองหยิบเอา Sex and Zen กลับมาสร้างใหม่ แม้ตอนนั้นผมพึ่งเริ่มทำงานเป็นผู้กำกับรายการโทรทัศน์ แล้วก็หนังโฆษณาแล้ว ส่วนมาร์คก็เป็นคนเขียนบทที่มีงานหนัง กับหนังชุดทางทีวีหลายๆเรื่อง แต่เรายังไม่มีทีมโปรดักชั่นของตัวเอง ขั้นตอนมันจึงต้องกินเวลานานพอสมควร
       
       จนถึงเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ คือ คุณสตีเฟ่น เซียว กับ คุณสตีเฟ่น เซียว จูเนียร์ ลูกชายของเขา อยากจะกลับมาสร้างหนังอีกครั้ง ตัวของคุณ สตีเฟ่น เซียวเองเป็นนักเขียนบทผู้มีผลงานมาแล้วมากมาย เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง และเคยกำกันหนังมาแล้ว ถือว่าเป็นบุคคลากรระดับมันสมองคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ฮ่องกง เคยทำหนังที่ประสบความสำเร็จมามากมาย
       
       ในตอนแรกเขาอยากจะเลือกเอาหนังเก่าของตัวเองซักเรื่องกลับมาสร้าง ใหม่ เราลองเลือกดูจากหนังเก่าจำนวนมาก จนเริ่มคิดกันว่าถ้าเอา Sex and Zen กลับมาทำเป็นหนังสามมิติ ก็น่าจะเป็นงานที่มั่นใจได้ว่า น่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก หลังจากนั้นได้มีหนังฟอร์มใหญ่เรื่อง Avatar เข้าฉายทั่วโลก มันทำให้โรงหนังเกือบทุกแห่งในฮ่องกง ได้ติดตั้งระบบการฉายแบบ 3 มิติเตรียมเอาไว้ ซึ่งนี่คือจุดที่ทำให้โครงการหนังของเราได้เริ่มต้นขึ้นครับ
       
       คริสโตเฟอร์ ซุน ยังอธิบายว่า 3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy เป็นทั้งหนังรีเมก และภาคต่อของหนังชุดเดิม สำหรับกรณีของภาคต่อเขายังกล่าวว่าหนังคือภาคสองของ Sex & Zen ต้นฉบับเมื่อปี 1991 อย่างเป็นทางการด้วย หลังจากเคยมีผู้สร้างรายอื่นยืมความขลังของชื่อ Sex & Zen สร้างเป็นภาค 2 – 3 ในอดีตมาแล้ว
       
       ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ ที่จะเข้าไปดู Sex and Zen ในโรงหนังได้น่ะครับ ตอนนั้นหนังมันฮิตสุดๆเลย ถือเป็นความกล้าอย่างยิ่งที่จะทำหนังแบบนั้นเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ทั้งอารมณ์ขัน, การกำกับศิลป์ ทุกอย่างมันสดใหม่มาก ผมไม่คิดเลยครับว่าจะกลายมาเป็นผู้กำกับที่ได้ทำหนังภาคต่อของ Sex and Zen ได้ทำภาคสองของหนัง ผมหมายถึงภาคสองที่แท้จริงของหนังนะครับ
       
       เราได้ลองนำบทภาพยนตร์ของ Sex and Zen ฉบับเดิมกลับมาอ่านดู พยายามจะใช้โครงเรื่องเดิมๆทั้งหมด รวมถึงตัวละครเดิมๆบางตัว มาเติมองค์ประกอบใหม่ๆเข้าไปพร้อมกับสร้างเรื่องราวใหม่ขึ้นมาด้วย พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน
       
       งานต้นฉบับเป็นหนังที่ผมยกไว้บนหิ้งเลย เมื่อเราสร้างหนังภาคใหม่ผมคิดว่ามันเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก เพราะหนังมีเนื้อหาที่แตกต่างกัน ในฉบับเก่าหนังพูดถึงเรื่องตัณหากามอารมณ์ ขณะที่หนังของเราพูดถึงประเด็นที่ว่า ความรักที่แท้จริง สามารถตัดขาดได้จากเรื่องทางเพศรึเปล่า เป็นเรื่องที่แตกต่างกัน แต่เราใช้แบรนด์ของหนัง Sex and Zen เพื่อให้ผู้ชมได้รู้ว่า จะมีหนังในสไตล์ Sex and Zen กลับมาเข้าฉายในระบบภาพสามมิติ
       
       ฝ่ายผู้เขียนบทก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างหลาย ๆ อย่างของหนังฉบับปี 1991 และ 2011
       
       (มาร์ค วู) ที่ชัด ๆ ก็คงเป็นเรื่องภาพ 3 มิตินั่นแหละครับ หนังของเราถ่ายทำในแบบ 3 มิติแท้ๆอีกประเด็นที่สำคัญก็คือ อย่างที่ คริสโตเฟอร์ บอกเอาไว้ หนังของเราพูดถึงเรื่องความรัก มันเป็นสิ่งที่ท้าทายนะครับ เพราะเราทำหนังอีโรติกที่ว่าด้วยเรื่องทางเพศ แต่เนื้อหาของหนังเรียกว่ามันตรงกันข้ามกับการส่งเสริมเรื่องทางเพศเลย จึงถึงต้องระวังกันให้มาก ที่จะแน่ใจว่าหนังจะน่าสนใจ และดึงดูดให้คนมาโรงหนังมาชมผลงานของพวกเรากัน
       
       ซึ่งแน่นอนว่าการหยิบเอา Sex and Zen กลับมาสร้างใหม่ เป็นความกดดันสำหรับคนทำหนังหน้าใหม่อย่างพวกเขาอยู่ไม่น้อย
       
       ความจริงแล้วความกดดันที่ว่าก็มาจากทั้ง การต้องรีเมกฉบับเก่าที่ดังมากๆ แล้วก็ความกดดันที่ต้องหาทางทำให้คนฮ่องกงกลับเข้าโรงหนังให้ได้ ผมว่าจริงๆนี่เป็นปัญหาไปทั่วโลกนะครับ เมื่อก่อนคนไปดูหนังที่โรงกัน แต่เดี๋ยวนี้ดูกันอยู่ที่บ้าน ดูทีวี, ดูหนังจากจอคอมพิวเตอร์ ความท้าทายก็คือเราจะทำให้คนกลับเข้าโรงหนังกันได้อย่างไง ไม่ใช่แค่ที่ ฮ่องกง แต่ในเมืองไทย, ไต้หวัน, เกาหลี เราอยากจะทำอะไรที่แตกต่างจริงๆ จึงจะสามารถทำให้คนดูกลับเข้าโรงหนังกันได้
       
       ซึ่งพูดตามตรงนะครับ ตอนเปิดกล้องผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะมาถูกทาง มีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่เราต้องทำให้สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องบทนะครับ แต่ทั้งการคัดเลือกนักแสดง, แผนการตลาด ถ้าขาดส่วนไหนไปเราก็คงไม่มาถึงวันนี้แล้ว
       
       3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy ไม่ใช่งานตีหัวเข้าบ้าน ทุกอย่างมีขั้นตอน และใช้เวลา
       
       มันเป็นแผนที่ต้องวางกันอย่างละเอียด เป็นขั้นตอนที่กินเวลาอันยาวนาน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงได้ยินข่าวหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ 18 เดือนก่อน มีข่าวการคัดเลือกนักแสดง สำนักข่าวต่างชาติอย่าง ซีเอ็นเอ็น หรือรอยเตอร์ เดินทางมาทำข่าวที่กองถ่ายของเรา มันกลายเป็นประเด็นระดับโลก มีคนคาดหวังมากมาย
       
       ยืนยันไม่ได้ทำ “หนังโป๊สามมิติ” เปรยเคยโดนจ๊วก หาว่าหนังสู้เอวีไม่ได้
       
       ก็มีความเข้าใจผิดเยอะนะครับ มีคนคิดว่าเราทำหนังโป๊สามมิติกัน แต่หนังของเรามีเรื่องราว มีมุขตลก ซึ่งในเวลาเดียวกันพวกเราก็โดนโจมตีจากอีกฝ่ายด้วย เพราะมีบางคนที่ไปโรงหนังแล้วอยากดูสิ่งที่ใกล้เคียงกับหนัง "เอวี" จากญี่ปุ่น ซึ่งหนังของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายแล้วผมคิดว่าเราให้น้ำหนักกับทุกอย่างได้พอดี ทั้งตัวหนัง, แผนการตลาด จนหนังฮิตระเบิด ไม่ใช่แค่ในฮ่องกง แต่ตอนนี้ทั่วโลก ทั้งที่ ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ หวังว่าจะฮิตที่เมืองไทยด้วย
       
       ยอมรับว่า “หนังเกรด III” คือข้อจำกัด
       
       แน่นอนครับ หนังเกรด III มีข้อจำกัดมากมาย เพราะกฎหมายเรตติ้งฉบับนี้ตราขึ้นมาได้ประมาณ 20 กว่าปีแล้ว จะบอกว่าเป็นสิ่งล้าสมัยไปแล้วก็ได้ ยิ่งการพัฒนาของสื่อใหม่อย่างอินเตอร์เน็ต คนก็มีโอกาสได้เห็นอะไรที่ล่อแหลมวาบหวามในโลกออนไลน์อย่างง่ายๆ เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องการอะไรที่ล่อแหลมกว่านั้นในหนังของเรา
       
       แต่เราต้องทำตามกฎหมายที่ว่าด้วยหนังเกรด III อย่างเคร่งครัด เราจะถ่ายภาพองคชาติแบบชัดๆให้เห็นไม่ได้ เราถ่ายทำฉากการมีเพศสัมพันธ์จริงๆไม่ได้ เราถ่ายทำฉากที่มีความรุนแรงมากเกินไปไม่ได้ มันไม่ใช่หนังเรตเอ็กซ์
       
       ซึ่งทั้งสองชี้ว่าประเด็นสำคัญคือ ความพอดี ที่ต้องให้น้ำหนักองค์ประกอบสำคัญทุก ๆ ประการเท่าเทียมกัน ทั้งความเซ็กซี่, เนื้อหา อารมณ์ขัน โดยมีกฎหมายเรตติ้งเป็นกรอบที่สำคัญ
       
       ความท้าทายอยู่ตรงนี้แหละครับ เราจะทำทุกอย่างให้พอดีอย่างไร นอกจากนั้นถ้าเราจะทำให้หนังออกมาสุดขั้วกว่านี้ เราก็อาจจะเสียกลุ่มผู้ชมผู้หญิงไปด้วย เราทำยังไงให้หนังมีความร้อนแรง ขณะเดียวกันก็ยังมีความบันเทิง ต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยครับกว่าทุกอย่างจะลงตัว ผมโชคดีที่ได้บทที่ดีมากๆ ได้เรื่องราวที่มีชีวิตชีวา มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องรักแท้ซึ่งคนดูส่วนใหญ่ก็คล้อยตามไปกับหนังด้วย หลายๆคนเห็นด้วยว่านี่คือ หนังรัก/แอ็กชั่น/ตลก เรื่องหนึ่ง
       
       ขณะที่ในหนังฉบับใหม่จะพูดถึงเรื่องการมีรักแท้ มันเป็นความแตกต่าง แต่ก็ถูกขั้นไว้ด้วยเส้นบางๆ เราต้องทำทุกอย่างออกมาให้พอดีที่สุด ถ้าทำหนังออกมาเครียดเกินไป คนดูก็จะรู้สึกกดดันแล้วก็เครียด มันจะกลายเป็นหนังเศร้า
       
       เราไม่อยากให้หนังออกมารุนแรงกดดันแบบนั้น ตลอดทั้งเรื่องหนังจึงจะออกมาง่ายๆ แนะนำตัวละคร เกร่ินถึงเรื่องราว จนถึงช่วง 35 นาทีสุดท้ายจะเป็นความตึงเครียด โดยเฉพาะเมื่อตัวละครเจ้าชาย พยายามทรมานคู่รักชายหญิงตัวเอกของเรื่องด้วยวิธีต่างๆนานา หนังจะออกมากดดันมากๆ
       
       คนดูจะได้เห็นความสุขสม, ความเศร้าโศก เหนืออื่นใดพวกเขาจะได้พบกับความรัก และความหวัง ตลอดทั้งเรื่อง เป็นความหลากหลายที่ทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาสมบูรณ์แบบ
       
       คริสโตเฟอร์ ยกให้ มาร์ค วู ตอบประเด็น เรื่องการผสมไอเดียหลากหลาย เพื่อสร้างสรรค์เป็นตัวละครสุดเซ็กซี่ ซึ่งสุดท้ายแล้วหนังฉบับเก่าก็ยังเป็นพิมพ์เขียวที่สำคัญที่สุด
       
       คริสโตเฟอร์ ซุน : คุณใช้หนังฉบับเก่ามาเป็นต้นแบบใช่มั้ย
       
       มาร์ค วู : ก็ใช่นะครับ ยกตัวอย่างตัวละครบางตัว "เฒ่าราคะ" ที่เป็นตัวละครสองเพศ ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่บ้าแล้วก็น่าสนใจดี เราทำให้ออกมามีความตลกปนอยู่ด้วย จริงๆแล้วบทนี้มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องมากนะครับ ผมคิดว่าไอเดียบางอย่างมาจากตัวของผมเอง มาจากการดูหนังทีวี มาจากหนังการ์ตูน
       
       แต่จริงๆแล้วตัวละครหลักของเราจะอ้างอิงมาจากหนังฉบับเก่านะครับโดยเฉพาะสองตัวเอก ซึ่งก็ดัดแปลงมาจากนิยายอมตะของจีนอีกต่อหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่หลายๆคนได้อ่านมาแล้ว พวกเขาจะมีจินตนาการเกี่ยวกับตัวละครในหัวอยู่แล้ว นี่คือตัวละครที่เราจะไม่ค่อยแตะต้องอะไรเท่าไหร่
       
       สิ่งที่เราทำก็คือการแนะนำตัวละครใหม่ๆให้กับผู้ชมได้รู้จักตลอดทั้งเรื่อง และหนังก็จะว่าด้วยปฏิกิริยาการตอบสนองกัน ระหว่างตัวละครใหม่และเก่า กับเรื่องราวสถานการณ์ใหม่และเก่า นี่คือวิธีการของเรา
       
       ขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดง ก็เป็นอีกสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจ ซึ่ง มาร์ค วู ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างด้วย ก็ยืนยันว่ามันเป็นขั้นตอนที่โหดหิน ไม่ได้สนุกสนานอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจกันเลย
       
       เราเริ่มคัดเลือกนักแสดงกันตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว ทั้งที่ฮ่องกง แล้วก็ในจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนหน้าที่จะมีบทด้วยซ้ำไป คำถามแรกจากสาวๆที่มาคัดเลือกเป็นนักแสดงในหนังเรื่องนี้ก็คือ Sex and Zen คืออะไร พวกเขาไม่เคยดู และส่วนใหญ่ไม่รู้จักด้วยซ้ำ เพราะนี่คือหนังสือต้องห้ามมาก่อน ผมแทบจะต้องคุยกับสาว ๆ พวกนี้คนละ 20 นาทีเพื่ออธิบายว่าหนังของเราคืออะไร เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้คำสั้นๆ เพื่ออธิบายถึงไอเดียภาพรวมของนิยาย เพราะตอนอยู่ในโรงเรียนพวกเธอไม่มีสิทธิ์จะได้ผ่านตากับวรรณกรรมประเภทนี้ เราจึงต้องเล่าเรื่องย่อ โน้มน้าวให้ลองมาคัดเลือกบทในหนังดู
       
       สาวๆเกือบทุกคนที่มาแคสต์เป็นคนสวยมาก แต่ไม่มีคุณสมบัติที่เราอยากได้ บางคนดูเป็นสาวสมัยใหม่เกินไป บางคนขาดความสวยคลาสสิค บางทีมีคุณสมบัติครบทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อมาประกบพระเอกของเรา กลับดูไม่มีเคมีระหว่างกัน มันเป็นขั้นตอนที่ยาวนานเหมือนกันกว่าจะคัดเลือกนักแสดงได้อย่างที่ใจ ต้องการ น่าจะประมาณปีนึงได้ครับ
       
       ผู้กำกับ และผู้เขียนบททั้งสองท่าน ยังร่วมปรากฏตัวในบทสมทบเล็ก ๆ ในหนังเรื่องนี้ด้วย ซึ่งทั้งคู่อธิบายว่าเป็นเพราะความจำเป็น ที่หานักแสดงมารับบทดังกล่าวได้ยากเย็นเหลือเกิน
       
       ทุกตัวละครยากหมด ถ้าคุณได้ไปดูหนังมาแล้วคุณจะเห็นตัวละครสองตัว ซึ่งคือผมกับมาร์คนั่นเอง ตัวแรกคือผมที่แสดงเป็นทหารที่เป็นคนทรมานตัวละครของ หลันเหยียน ด้วยการจับนางเอกของเราไปนั่งบนม้าไม้ นอกจากคุณจะได้เห็นมาร์คแสดงเป็น "เทียนฉาน" หมอเทวดาแขนเดียว ตัวละครสำคัญอีกตัวในเรื่อง เราไม่ได้อยากจะเล่นเองแต่หาคนแสดงเป็นสองตัวละครนี้ไม่ได้
       
       มีนักแสดงมากมายที่ตกลงจะมาร่วมงานกับเราแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าเป็นหนังเกรด III แล้วส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนใจ เพราะหลังฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีนแล้ว มีหลายคนไปทำงานที่เมืองจีนด้วย ซึ่งพวกเขากลัวว่าการมาปรากฏตัวในหนังเกรด III จะมีผลไปถึงงานอื่นๆในเมืองจีนด้วย พวกเขากังวลกับเรื่องแบบนั้นกันมาก บางคนอยากจะเล่นหนังเรื่องนี้มากๆ และตอบตกลงกับพวกเราไปแล้ว แต่พวกผู้จัดการส่วนตัวจะโทรศัพท์มาขอยกเลิก พร้อมกับเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันข้อ ประเภทมีปัญหาเรื่องตารางการทำงานอะไรทำนองนั้น
       
       แค่บทเล็กๆอย่างที่ผมกับมาร์คต้องแสดง ก็ไม่ใช่ของง่ายเลย เพราะอย่างบทของมาร์คที่เป็นหมอแขนเดียว มีดาวตลกในฮ่องกงหลายๆคนที่ตกลงจะมาแสดงเป็นบทนี้ แต่พอบอกว่าเป็นหนังเกรด III ส่วนใหญ่ก็ปฏิเสธกันหมด พวกเราต้องโน้มน้าวให้มาร์ครับบทนี้ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยนะครับ เพราะมาร์คกลัวหมาอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะทำให้ฉากนี้ออกมาอย่างที่เราคิดกันเอาไว้
       
       สำหรับกรณีของผม ก็เพราะว่าผมไม่อยากให้นักแสดงหญิงต้องได้รับบาดเจ็บจากหนังเรื่องนี้ เพราะผิวของเธอบางมาก ถ้าเราให้พวกตัวประกอบเล่นฉากนี้เอง พวกเขาอาจจะรุนแรง จนทำให้ผิวของเธอเสีย ผมจึงต้องแสดงเองเพื่อให้มั่นใจว่าภาพมันจะออกมาโหดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องดูแลดูไม่ให้นางเอกได้รับบาดเจ็บอะไรด้วย เรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบนั้นเองครับ ที่ทำให้การคัดเลือกนักแสดงค่อนข้างทำได้ยาก
       
       ทำไมต้องต้องดาราเอวี
       
       เป็นความคิดของผู้อำนวยการสร้างครับ อย่างที่ผมบอกไปว่าหนังเราต้องทำทุกอย่างให้ออกมาพอดีที่สุด Sex and Zen เป็นเรื่องทางเพศ มีฉากเลิฟซีนมากมาย เมื่อไปถึงกองถ่ายเราต้องการใครบางคนที่จะทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นได้ และทำให้จังหวะทุกอย่างออกมาถูกต้องที่สุด
       
       เราเลือกนักแสดงหญิงญี่ปุ่นสองคนให้มาร่วมแสดงหนังเรื่องนี้ ก็เพราะว่าพวกเธอผ่านงานแสดงลักษณะนี้มาแล้วมากมาย สามารถเปลือยกายต่อหน้ากล้องได้อย่างสบายๆ พวกเธอแสดงหนังเอวีมาแล้วเป็นสิบ เรื่อง ไม่มีความอายหลงเหลืออยู่แล้ว เราสามารถขอให้เธอถอดเสื้อผ้าออกได้ทันที และทำงานกันได้อย่างเป็นมืออาชีพมาก
       
       สองสาวญี่ปุ่นช่วยการถ่ายทำเป็นไปได้อย่างราบรื่นเรียบร้อย
       
       ตอนเราถ่ายฉากเลิฟซีนเป็นฉากแรก มีการเรียกให้นักแสดงทุกคนในหนังเรื่องนี้ รวมถึงคนที่ยังไม่มีคิวจะมาเข้ากล้องด้วย ให้มาร่วมสังเกตการณ์การทำงานในกองถ่าย ดูว่าสาวเอวีเขาทำงานกันอย่างไร ซึ่งก็ทำให้ทั้งทีมงานและนักแสดงทุกคน เข้าใจว่าการทำงานแบบมืออาชีพคืออะไร ทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น เราถ่ายทำหนังเสร็จตามกำหนดเวลาในแค่ 45 วันเท่านั้น
       
       มันเหมือนเป็นการตั้งมาตรฐาน เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักแสดงทุกคนน่ะครับ สิ่งท้าทายที่สุดในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ก็คือ เราต้องถ่ายหนังที่นักแสดงเกือบทุกคนต้องแก้ผ้า ต้องแสดงแบบมั่นใจและเหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราไม่อยากจะถ่ายทำฉากต่างๆออกมาให้เพียง "คล้ายๆ" เท่านั้น แต่ต้องสมจริงที่สุด
       
       หนังมีฉากเลิฟซีนเยอะมาก ซึ่งเราก็ออกแบบฉากต่างๆให้แตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน บางตอนเจือความตลก, บางตอนทำให้หัวใจเต้น บางตอนก็ค่อนข้างโหด เป็นการทำงานที่เรียกร้องความทุ่มเทอย่างมาก ซึ่งถ้าเราไม่สามารถทำบรรยากาศออกมาให้ถูกต้องได้ มันก็จะเสียเวลาเปล่า
       
       เพราะเราทำงานภายใต้งบประมาณที่จำกัด มีแค่ 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการถ่ายทำทั้งหมด ซึ่งทุนสร้างส่วนใหญ่จะหมดไปกับการออกแบบฉาก และกำกับศิลป์ รวมถึงการทำเทคนิคภาพ 3 มิติ ค่าใช้จ่ายสำหรับการถ่ายทำจริงๆจึงน้อยมาก เราจึงต้องมั่นใจว่า กำหนดการณ์, ขั้นตอนการถ่ายทำ ต้องเป็นไปตามแผนให้เป๊ะที่สุด จริงๆผมก็คิดว่าเป็นปัญหาสำหรับหนังทุกเรื่องนั่นแหละครับ
       
       นอกจากการถ่ายทำหนังตามปกติแล้ว แผนประชาสัมพันธ์ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญของหนังเรื่องนี้ สุดท้ายการตีข่าวผ่านอินเตอร์เน็ตก็ประสบความสำเร็จจนทำให้ Sex and Zen ได้รับความสนใจไปทั่วโลก
       
       จริงๆแล้วการทำโปรโมชั่นเป็นงานที่หินสำหรับทีมงานทุกคนครับ ทั้ง คุณสตีเฟ่น เซียว กับคุณสตีเฟ่น เซียว จูเนียร์ ทำเรื่องนี้กันได้ยอดเยี่ยมมาก เราไม่ได้ทุ่มเม็ดเงินมหาศาล แต่พยายามด้วยวิธีใหม่ ใช้อินเตอร์เน็ต, กระแสปากต่อปาก, สื่อต่างชาติ แม้ตอนที่หนังของเรายังไม่ได้ฉายแต่ก็กลายเป็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์ ไปแล้ว เราปล่อยภาพต่างๆออกไปจนทุกคนให้ความสนใจกันมาก
       
       เช่นตอนที่เราปล่อยข่าวว่าได้ ซาโอริ ฮาระ ที่ดังสุดๆมาแสดงด้วย คนก็พูดถึงกันไม่หยุด แต่สิ่งเดียวที่เราไม่เคยพูดถึงเลยก็คือเนื้อหา เราต้องการเก็บไว้ให้เป็นความลับ ไม่อยากจะสปอยด์มากเกินไป จนแต่ละคนก็มีความคาดหวังที่ต่างๆกันไป กลายเป็นหนังที่หนุ่มๆทุกคนพูดถึง ถึงตอนนี้พวกสาวๆก็สนใจ Sex and Zen กันด้วย พวกเธอสงสัยเกี่ยวกับหนังกันมากว่า 3-D Sex and Zen จะออกมาเป็นหนังอีท่าไหน ไม่ใช่สำหรับเฉพาะชาวฮ่องกง หรือจีน แต่รวมถึงทั่วโลกด้วย ผมว่าผลที่ออกมาก็แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว
       
       ในข่าวต่างๆ ของ Sex and Zen ที่ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง ยังรวมถึงข่าวประเภทกอสซิบของบรรดาดาราด้วย ผู้กำกับได้อธิบายถึงบางข่าว ว่าไมได้เป็นการเตี้ยมจัดฉากอะไรเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจริงๆ รวมถึงประเด็น นางเอกทำโทรศัพท์มือถือหาย ที่เขาถือว่าเป็นความซวยที่ช่วยไม่ได้จริง
       
       นั่นเป็นเรื่องจริงนะครับ เธอทำโทรศัพท์มือถือหายไปจริงๆ มีคนเก็บได้ แล้วก็ปล่อยภาพในนั้นลงอินเตอร์เน็ต เราไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้มีการวางแผนอะไรเลย แต่คนคิดว่าเราทำกันเอง บางทีเรื่องบ้าๆแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครต้องการให้เป็นแบบนั้นหรอก
       
       ชีวิตมันก็เป็นแบบนี่แหละครับ มีข่าวลือมากมาย คนเยอะแยะเลยที่คิดว่าผมกับมาร์ค มีอะไรกับสาวๆนักแสดงในหนังเรื่องนี้ ซึ่งขอโทษนะพวกเราไม่ได้ทำแบบนั้น เราไม่ใช่คนแบบนั้น ใครที่คิดเรื่องแบบนั้นได้ ก็คงต้องสร้างหนังของตัวเองบ้าง บางทีพวกคุณอาจจะได้โอกาสแอ้มสาวขึ้นมาบ้างก็ได้ แต่สำหรับพวกเรามันไม่ได้เกิดขึ้น
       
       จริงๆแล้วทีมงานทุกคนทุ่มเทให้กับหนังมาก ทุกคนเทใจให้กับหนังแบบเต็มร้อย เราไม่ได้ต้องการจะสร้างเรื่องอื้อฉาวอะไรเลย เรื่องกอสซิปต่างๆถูกสร้างโดยคนอื่น และนักข่าวกับช่างภาพปาปารัสซี่ก็ยิ่งเอามันไปปั่นให้กลายเป็นเรื่องฉาว มากกว่าเดิม ซึ่งเราเองจะไปแก้ไขอะไรก็คงไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือ ทำหนังออกมาให้เจ๋งที่สุด ได้สร้างความบันเทิงให้กับคน
       
       อีกประเด็นร้อนอย่างการถูกแบน คริสโตเฟอร์ ซุน กล่าวว่าหนังของเขาไม่ได้โดนทางการจีนแบน เพียงแค่ไม่ได้เข้าไปฉายที่นั่นเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องปกติสำหรับการกำหนดจำนวนโควต้าให้หนังต่างประเทศเข้าฉายใน ประเทศจีนได้อย่างจำกัด ซึ่งผลงานบางเรื่องของ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ก็ยังเคยโดนเหมือนกัน
       
       จริงๆหนังไม่ได้โดนเมืองจีนแบนนะครับ ผมอยากจะอธิบายเรื่องนี้หน่อย 3D Sex and Zen เป็นหนังทุนฮ่องกง 100% สร้างโดยฮ่องกง 100% เพราะฉะนั้นหนังไม่ได้เป็นงานร่วมทุน จีน-ฮ่องกง จึงไม่สามารถเข้าไปฉายที่เมืองจีนได้อย่างอัตโนมัติได้อยู่แล้ว
       
       ก็เพราะเราต้องการอิสระในการทำหนัง เพราะเราไม่ต้องการถูกบีบด้วยกฎระเบียบต่าง ๆ ตัวหนังเองก็มีเนื้อหาแรงๆอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เพราะมีหนังตั้งมากมายที่ไม่ได้เข้าไปฉายในเมืองจีน หนังบางเรื่องของ สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก ก็ยังไม่ได้เข้าไปฉายเลย
       
       ประเด็นข่าวเรื่องนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ แห่เดินทางไปชม Sex and Zen ที่ฮ่องกง ก็เป็นอีกสิ่งที่คนให้ความสนใจ
       
       เป็นเรื่องจริงเลยครับ หนังของเราได้เงินประมาณ 40 ล้านเหรียญฮ่องกง ซึ่งครึ่งนึงน่าจะมาจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เดินทางเข้ามาเที่ยวระยะสั้นๆกันในฮ่องกง จับจ่ายซื้อข้าวของแบรนด์เนมส์ หลายคนไม่ได้ตั้งใจจะมาดูหนังโดยตรงหรอก แต่เมื่อมาแล้วเห็นหนังก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือ 3D Sex and Zen นี่นา ซึ่งชาวจีนหลายคนก็อาศัยโอกาสนี้ตีตั๋วดูหนังเรื่องนี้กันเสียเลย หลายคนเดินทางกันมาเป็นกรุ๊ปทัวร์เพื่อดูหนังเรื่องนี้ คนพวกนี้เมื่อเดินทางกลับเมืองจีนไป ก็จะไปพูดถึงหนังกันแบบปากต่อปาก ส่วนใหญ่ก็คุยโม้ประมาณว่าได้ดูตัวเองได้ดู 3D Sex and Zen มาแล้วนะ
       
       คนจีนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ถือว่ามีรายได้ค่อนข้างสูง และการเดินทางมาฮ่องกงก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย หลายคนจึงตัดสินใจกันได้ง่ายๆ สำหรับทริปท่องเที่ยวสั้นๆ 3 วัน ได้ช็อปปิ้ง แล้วยังได้ดู 3D Sex and Zen ด้วย ซึ่งผมก็ขอขอบคุณนะครับ ที่แม้หนังจะไม่ได้ฉายในเมืองจีน แต่รัฐบาลจีนก็ไม่ได้ปิดกันอะไรหากประชาชนจะเดินทางมาดูหนังเรื่องนี้กันที่ฮ่องกง เป็นอิสรภาพลักษณะหนึ่งเหมือนกัน
       
       เราไม่ได้วางแผนอะไรไว้นะครับ เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นบ่อยๆ ที่หนังหลายๆเรื่องไม่ได้ฉายในเมืองจีน คนก็จะเดินทางเข้ามาดูกันในฮ่องกงกันแทน
       
       สำหรับในการฉายที่เมืองไทย สองผู้อยู่เบื้องหลังกล่าวว่าไม่ได้ติดใจอะไรหาก Sex and Zen จะได้เข้าฉายเพียงไม่กี่วัน พร้อมยืนยัน “ไทยเวอร์ชั่น” คือฉบับ (เกือบ) สมบูรณ์ที่สุดแล้ว
       
       ผมเคารพการตัดสินใจของที่นี่นะครับ เป็นประเด็นที่ยากจะออกความเห็น แต่ละประเทศมีประเพณี, ระบบ และการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อย่างน้อยผมก็คิดว่าคนไทยมีสิทธิ์ที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้กัน และมีสิทธิ์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับหนัง ผมอยากจะบอกว่าเปิดใจ แล้วลองเข้าไปดูในโรงหนัง ตัดสินหนังด้วยตัวของคุณเอง
       
       จริงๆแล้วมีการพูดคุยกันเยอะมากว่า 3D Sex and Zen โดนเซ็นเซอร์อย่างไรบ้างในการเข้าฉายที่ประเทศต่างๆ แต่ข้อเท็จจริงก็คือฉบับที่ฉายในเมืองไทยนี่ก็เกือบจะสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว มีการตัดบางฉากออกไปนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะว่าหนังรุนแรงหรือล่อแหลมอะไรเกินไป แต่เพราะที่นี่คือเมืองพุทธ ที่มีประเพณีและความเชื่อของตัวเอง
       
       ซึ่งเราต้องให้ความเคารพตราบใดที่การตัดไม่ได้มีผลกับเรื่องราว ความเป็นหนังของเรายังคงอยู่ คนที่เข้าโรงหนังยังสามารถเข้าใจประเด็นสำคัญ เราไม่ได้ต้องการจะท้าทายต่อระบบใดๆ หรือของใคร เพราะในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับ เราต้องเคารพความแตกต่างของแต่ละประเทศ เหมือนหนังเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่สามารถเข้าไปฉายในประเทศมุสลิมได้ มันไม่ใช่ความผิดของประเทศนั้นๆ ที่ต้องมาถูกโจมตีเลย
       
       ต้องขอขอบคุณที่นี่ด้วยซ้ำไป เพราะหน่วยงานราชการใจกว้างพอที่จะให้หนังของเราเข้าฉาย ด้วยการอนุญาตสำหรับผู้ชมอายุ 20 ปีขึ้นไปเท่านั้น อาจจะมีการตัดฉากต่างๆ ออกไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำลายหนังทั้งเรื่อง สำหรับคนดูที่เข้าโรงหนังไป ก็ยังจะรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเดิม คุณสามารถรับรู้ส่วนของความรัก รวมถึงเรื่องเซ็กซี่ในหนังได้อย่างเต็มร้อย
       
       นอกจากนั้นผู้กำกับของเรื่องยังยินดี ที่หนังได้มาฉายอย่างเป็นทางการที่นี่ เพราะการที่ Sex and Zen ได้ถูกลงเสียงพากย์เป็นภาษาไทย จะทำให้ผู้ชมที่นี่ได้รับอรรถรสสูงสุด
       
       เราไม่ได้มองเรื่องที่ว่าหนังได้ฉายเพียงไม่กี่วันในแง่ลบเลย เป็นเรื่องบวกเสียอีกที่เราได้ฉายหนังเรื่องนี้ให้คนไทยได้ดูกัน เพราะเราสามารถฉายหนังฉบับพากย์ไทยที่นี่ได้ คนดูไม่ว่าจะเป็นที่เมืองไทยหรือจีนแผ่นดินใหญ่ คงไม่สามารถรับสารทั้งหมดของเราได้จากการดูหนังฉบับภาษาจีนกว้างตุ้ง ตอนนี้เรามีหนังฉบับพากย์ไทยที่สมบูรณ์แบบมาก ทุกคนจะได้รับความบันเทิงอย่างที่เราต้องการให้เป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นจะตัด, จะเซ็น สำหรับเรารับได้ทั้งนั้นครับ
       
       ฉบับพากย์ไทยไม่ได้เป็นการทำให้หนังด้อยคุณค่าอะไรไปเลย แต่อย่างที่บอกมันยกระดับหนังของเราสำหรับคนไทย ผมพูดแบบนั้นก็เพราะว่าบางทีเวลาคุณดูหนังต่างชาติ มันจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่คุณไม่สามารถซึมซับได้จากการอ่านซับไตเติล นอกจากจะได้ฟังด้วยหูของตัวเอง จากเสียงพากย์เท่านั้น ซึ่งก็ต้องขอบคุณไปทาง เอ็ม พิกเจอร์ ด้วยที่ทำงานออกมาได้ดีมาก ผมเชื่อว่าคนดูทุกคนจะได้รับความบันเทิงอย่างเต็มที่แน่นอน
       
       เตรียมกลับไปสวดมนต์ หลังหนังฮิตระเบิด
       
       ตอนวันปีใหม่จีน เป็นผมเองที่พาทีมงาน และนักแสดงทุกคนไปวัดเพื่อสวดมนต์กัน เราอยากจะขอพรเพราะว่าคิดว่าไม่ได้ทำอะไรไม่ดี เราไม่อยากให้ผู้คนมองหนังกันในแง่ร้าย ที่สำคัญที่สุดก็คือเราเป็นเหมือนครอบครัวกัน เราเป็นคนธรรมดาเดินดิน ซึ่งเมื่องานของเราเสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงแล้ว เราก็อยากจะสวดมนต์กัน เพื่อให้หนังสำเร็จ หรืออย่างน้อยก็อย่าให้ผู้อำนวยการสร้างต้องขาดทุนเลย ... ซึ่งเราคงต้องกลับไปสวดมนต์อีกครั้งแล้ว หลังจากหนังประสบความสำเร็จมากมายแบบนี้
       
       แผนการต่อไป ภาคต่อยาก - ภาคก่อนหน้าเป็นไปได้
       
       เรามีแผนจะทำหนังภาคก่อนหน้ากันครับ เพราะมีข่าวลือกันเยอะมาก ผู้อำนวยการสร้าง (สตีเฟ่น เซียว) ก็พูดไปแล้วเหมือนกันว่าหนังจะมีภาคต่อ แต่อย่างที่บอกว่าตั้งแต่ก่อนทำหนัง 3D Sex and Zen แล้ว เราคิดว่าต้องมีบทหนังที่ดีจริงเท่านั้น และเรื่องราวก็ถือว่าจบสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว ถ้าจะทำภาคใหม่ก็ต้องมีเรื่องใหม่ ตัวละครใหม่ๆ ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาและขั้นตอนมหาศาลเลย ผมเลยมีไอเดียอีกอย่าง ซึ่งผมมั่นใจมากที่จะบอกตอนนี้เลยว่าเราจะทำภาคก่อนหน้าของ 3D Sex and Zen: Extreme Ecstasy กัน
       
       เตรียมรอชมฉบับตัดต่อพิเศษโดยผู้อำนวยการสร้างทางดีวีดี แต่ยังยืนยันว่าในหนังโรงคือฉบับที่สมบูรณ์ที่สุด
       
       ผมบอกได้ว่าจะมีฉบับตัดโดยโปรดิวเซอร์ ไม่ใช่ตัดโดยผู้กำกับ จะมีอะไรให้ดูกันอีกเยอะ แต่ก็ขอยืนยันว่าฉบับที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็คือ ฉบับที่เข้าโรงภาพยนตร์ เพราะเราถ่ายทำหนังกันในแบบสามมิติ และคุณจะได้รับอรรถรสสูงสุดก็ต้องเข้าไปดูกันในโรงหนังเท่านั้น
       
       และในช่วงสุดท้าย สองคนทำหนังชาวฮ่องกง ปิดท้ายการสนทนากับเรา ด้วยการกล่าวถึงโอกาสการกลับมาของหนังเกรด III หลังจาก 3D Sex and Zen ทำเงินได้มหาศาลแบบนี้
       
       เป็นคำถามที่ยากนะครับ เอาง่ายๆว่า 3D Sex and Zen ทำให้ผู้สร้างหนังฮ่องกงอีกหลายคนในวงการสนใจสร้างหนังเกรด III ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งถ้าพวกเขาคิดว่าคนดูต้องการมากกว่านี้ ถ้าจะทำหนังเกรด III อีกก็ต้องดีกว่า 3D Sex and Zen ต้องลงทุนสูงขึ้น พยายามให้หนังออกมาดีขึ้น ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นแบบนั้นหนังเกรด III ก็อาจจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ถ้าพวกผู้สร้างคนอื่นคิดว่าจะหวังเพียงขี่กระแสของ 3D Sex and Zen ก็ต้องขอโทษที่จะบอกว่าพวกคุณจะขาดทุน เพราะพวกเขาไม่ได้มีใจที่จะอยากมอบหนังดีๆให้กับคนดู
       
       ที่สำคัญผมคิดว่าฮ่องกงยังมีแนวทางหนังอีกมากมายทั้งหนังกังฟู, กำลังภายใน หนังเจ้าพ่อ ซึ่งหนังเพียงเรื่องเดียวคงจะไปปลุกตระกูลหนังใดให้กลับมาไม่ได้
       
       สิ่งที่ผมคิดว่าจะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อหลายปีผ่านไปคนจะมอง 3D Sex and Zen ในฐานะหนังที่ปลุกกระแสหนังสามมิติมากกว่า ซึ่งหนังน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้สร้างหนังในฮ่องกง หรือเอเชีย ได้ใส่ใจกับหนังสามมิติมากขึ้น อาจจะเป็นหนังอีโรติก หรือแนวทางอื่นๆก็ได้

Manager Online