ยอด ผกก. เกาหลี ยอมรับไปฮอลลีวูด 'ไม่ง่าย'

       แม้จะได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกไปไม่น้อย แต่ผลงานหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกของ "คิมจีฮุน" (Kim Ji Hoon) ที่ได้ "คนเหล็ก" มาแสดงนำกลับทำรายได้ในสหรัฐฯ ไม่ค่อยจะดีนัก นอกจากนั้นผู้กำกับยอดฝีมือก็ยังยอมรับว่าหลังได้ทำงานในวงการหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก เขาเริ่มคิดว่า "ฮอลลีวูด" อาจไม่ใช่ของง่ายนักสำหรับคนทำหนังชาวเกาหลี
       
       "ฮอลลีวูดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนทำหนังเกาหลี" คิมจีฮุน กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงโซล เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่าน ในโอกาสที่ The Last Stand ผลงานหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขา ได้กลับไปฉายที่เกาหลีใต้
       
       ก่อนหน้านี้ คิมจีฮุน ถือว่าโด่งดังเป็นผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของเกาหลีใต้ ด้วยความสามารถในการทำหนังหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นหนังทริลเลอร์ I Saw the Devil เมื่อปี 2010 และหนังสยองขวัญปี 2003 A Tale of Two Sisters ที่เคยถูกนำไปดัดแปลงเป็นหนังฮอลลีวูดมาแล้ว ซึ่งในปีที่ผ่านมาเขาได้โอกาสรับงานกำกับภาพยนตร์ภาษาอังกฤษที่ฮอลลีวูดเป็นครั้งแรก กับหนังทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญฯ ที่มี อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนคเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) เป็นผู้แสดงนำ
       
       ผู้กำกับเลือดโสมได้กล่าวถึงการทำงานในต่างแดนว่าเป็นทั้งเรื่อง "ท้าทายแบบสุดๆ" แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะต้องใช้เวลาและความพยายามไม่น้อย กับการปรับตัวให้เข้ากับระบบการทำงานของฮอลลีวูด และทำงานด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคย จึงต้องใช้ล่ามในการสื่อสารกับคนในกองถ่ายเป็นหลัก
       
       ขณะที่ในเกาหลีใต้ผู้กำกับคือคนที่มีอำนาจการตัดสินใจมากที่สุด แต่ในฮอลลีวูดเขาบอกว่า ตนเองต้องพยายามโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนคล้อยตามความคิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นทีมงานผู้อำนวยการสร้าง และนักแสดงนำของเรื่อง โดยเฉพาะเวลาที่เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง จากที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าในขั้นตอนของการเตรียมงานก่อนถ่ายทำแล้ว
       
       "ผมมักจะมีไอเดียดีๆ ออกมาระหว่างถ่ายทำฉากต่างๆครับ แต่มันก็ยากมากที่จะใส่ไอเดียพวกนั้นเข้าไปในหนัง หรือทำอะไรตามสัญชาตญาณ เพราะคุณต้องขออนุมัติจากทีมงานส่วนอื่นๆก่อน หากจะเปลี่ยนอะไรให้แตกต่างไปจากตารางการถ่ายทำ"
       
       "ทุกรายละเอียดได้ถูกกำหนดมาแล้ว แม้กระทั่งเวลาคุณรู้สึกว่าอยากจะลองถ่ายทำบางฉากดูอีกซักเทกหรือสองเทก ซึ่งสุดท้ายคุณก็ต้องหยุด เมื่อถึงกำหนดเวลา" คิม เล่าถึงประสบการณ์ทำงานในฮอลลีวูด "หากถึงเวลาอาหารเที่ยงขึ้นมา ทุกคนก็จะหยุดทำงานกันทันที"
       
       การทำงานกับผู้ช่วยผู้กำกับที่สหรัฐฯ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของเขาโดยสิ้นเชิง "ในเกาหลี หน้าที่ของผู้ช่วยฯ คือต้องเข้าใจในวิสัยทัศน์ของผู้กำกับสำหรับหนังเรื่องนั้น และทำทุกอย่างเพื่อให้วิสัยทัศน์นั้นเกิดขึ้นจริง แต่ในฮอลลีวูดพวกเขาจะคอยดูแลจัดการเรื่องตารางการทำงาน และรายละเอียดของการถ่ายทำเป็นหลัก มีหน้าที่ดูแลให้ทุกอย่างออกมาตรงเวลา"
       
       สำหรับหนังเรื่อง The Last Stand คิมจีฮุน ยังได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงแอ็กชั่นที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง ที่เพิ่งกลับมารับงานแสดงอย่างเป็นทางการ หลังเบนเข็มไปเล่นการเมืองอยู่หลายปี โดยผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ได้กล่าวถึง อาร์โนลด์ ชวาร์เชเน็คเกอร์ วัย 66 ปี ที่เลือกเขาให้เป็นผู้กำกับหนังประเดิมการหวนคืนสู่บทนำหน้ากล้อง หลังหายจากงานภาพยนตร์ไปร่วมทศวรรษ ในบทนายอำเภอของเมืองชายแดนที่พยายามไล่ล่าหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่หลบหนีหลุดรอดการควบคุมตัวของซีไอเอ
       
       "ชวาร์เชเน็คเกอร์ คือสัญลักษณ์ของวงการ เป็นแอ็กชั่นฮีโร่ของอเมริกัน แต่เขาก็อยากให้ตัวละครของตัวเองดูแก่, เหมือนคนเป็นพ่อ ที่ได้กลับมาอยู่เมืองเล็กๆ ของตัวเอง หลังจากทำงานหนักมานาน อยากจะได้ความสงบ และชีวิตที่เดินไปอย่างช้าๆ ผมอยากจะถ่ายทอดความสมจริงของหนุ่มใหญ่ในศึกครั้งสุดท้าย แทนที่จะเป็นฮีโร่ผู้สมบูรณ์แบบ ซึ่งหนังเรื่องนี้กลายเป็นจริงก็เพราะ ชวาร์เชเน็คเกอร์ แฮปปี้มากกับความคิดของผม ตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรกในบ้านสุดหรูของเขาเลย"
       
       ถึงตอนนี้ The Last Stand ทำเงินไปแล้ว 27 ล้านเหรียญฯ ทั่วโลก และมีกำหนดเข้าฉายที่เกาหลีใต้ในวันที่ 21 ก.พ. นี้

       3 คนทำหนังเกาหลีบุกฮอลลีวูด
       
       ปี 2013 นับเป็นปีที่สำคัญของวงการหนังเกาหลีเพราะผู้กำกับ 3 คนที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับจากวงการภาพยนตร์โลกมากที่สุดในช่วงหลัง ได้ตัดสินใจหันหน้าทำหนังภาษาอังกฤษในเวลาใกล้เคียงกัน
       
       นอกจาก คิมจีฮุน แล้ว ปาร์คชานอุค (Oldboy) ก็ได้ร่วมงานกับ นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman) ในหนังทริลเลอร์ Stoker กับเรื่องราวของสองแม่ลูกที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังหลังผู้เป็นพ่อจากไป กระทั่งการมาเยือนของคุณอาผู้ลึกลับ ที่อาจมาพร้อมกับจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่ โดยหนังเพิ่งจะฉายรอบพิเศษที่เทศกาลหนังซันแดนซ์ไป และได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดี พร้อมคำชมว่างานของผู้กำกับชาวเกาหลีคนนี้ ให้บรรยากาศใกล้เคียงกับ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก เลยทีเดียว โดยหนังจะเข้าฉายที่สหรัฐฯ ในต้นเดือน มี.ค. นี้
       
       ส่วน บองจุนโฮ (The Host) ก็กำลังทำหนังร่วมทุนกับฝรั่งเศส, สหรัฐฯ และเกาหลีเองในการหยิบหนังสือการ์ตูนดังของฝรั่งเศส Le Transperceneige มาดัดแปลงเป็นหนัง Snowpiercer ที่ได้นักแสดงนานาชาติร่วมประชันบทบาท ไม่ว่าจะเป็น คริส อีแวนส์, เจมี เบล, จอห์น เฮิร์ต, ทิลดา สวินตัน, เอ็ด แฮร์ริส, อ็อตเทเวีย สเปนเซอร์ และนักแสดงหนุ่มเกาหลี ซองคังโฮ
       
       Snowpiercer หนังแนววิทยาศาสตร์โลกอนาคต จะว่าด้วยเรื่องราวเมื่อการทดลองเพื่อหยุดปรากฏการณ์โลกร้อนกลับเกิดความผิดพลาด และส่งผลในทางลบก่อให้เกิดยุคน้ำแข็งขึ้น จนมีมนุษย์เหลือรอดชีวิตเพียงกลุ่มเดียว และอาศัยรวมตัวกันในรถไฟที่เดินทางไปอย่างไร้จุดหมาย

 

Manager Online