ตำนานปิดฉาก ฮายาโอะ มิยาซากิ (Hayao Miyazaki) ย้ำชัดคราวนี้วางมือถาวร

       แม้จะเคยประกาศวางมือเลิกทำหนังมาแล้ว แต่สุดท้าย "ฮายาโอะ มิยาซากิ" (Hayao Miyazaki) ก็ยังหวนคืนสู่การกำกับอนิเมชั่นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสำหรับครั้งล่าสุดตำนานวัย 72 ปี ยืนยันว่าคงจะถึงเวลาของการวางมือจริงๆเสียที
       
       ฮายาโอะ มิยาซากิ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับอนิเมชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของศิลปะภาพยนตร์แขนงนี้ ได้จัดแถลงเรื่องการวางมืออย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ (6 ก.ย.) ที่ผ่านมา ว่าเขาอยากจะใช้เวลาในชีวิตไปทำอย่างอื่นเสียที จากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการวาดรูป และทำหนังให้เสร็จตามกำหนดมาตลอด
       
       "ผมทราบว่าเคยพูดว่าจะเกษียณอายุไปหลายครั้ง หลายๆท่านก็คงคิดว่า 'อีกแล้วใช่ไหม' แต่คราวนี้ผมค่อนข้างจะจริงจังครับ" มิยาซากิ กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวที่กินเวลาถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งเขาได้มีโอกาสพูดถึงเรื่องราวต่างๆมากมายในชีวิตของตัวเอง ตั้งแต่สงครามไปจนถึงอาหารอิตาลี
       
       ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตการ์ตูนอนิเมชั่น Studio Ghibli เคยคว้ารางวัลออสการ์เมื่อปี 2003 จากภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Spirited Away ผลงานระดับปรมาจารย์ ที่มีเรื่องราวประทับใจ และเนื้อหาลึกซึ้งในการวิจารณ์แนวคิดอุตสาหกรรมนิยมยุคใหม่ โดยเขากล่าวว่าจริงๆแล้ว ตนเองอาจจะทำงานไปอีกซัก 10 ปีก็คงได้ แต่ก็ยอมรับว่าด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้เขาทำงานช้าลงเรื่อยๆ จากหนังเรื่องล่าสุดที่ใช้เวลาถึง 5 ปี หากมีเรื่องต่อไปก็อาจกินเวลามากกว่านี้

       สำหรับอนาคตหลังจากนี้ มิยาซากิ เปิดเผยว่าเขายังจะทำงานที่ Studio Ghibli ต่อไป และวางแผนว่าจะให้เวลากับพิพิธภัณฑ์ของสตูดิโอที่ชื่อว่า Ghibli Museum มากขึ้น ซึ่งเขาคิดว่าควรจะมีการปรับปรุงเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในการจัดแสดงได้แล้ว "ผมยังอาจจะแสดงผลงานของตัวเองด้วยก็ได้"
       
       ผู้กำกับตำนานแห่งวงการอนิเมชั่นยังเปรยว่าเขาคงไม่มีอะไร "เท่ห์ๆ" ที่จะพูดกับแฟนหนังรุ่นใหม่ของตัวเอง แต่จากผลงานที่ผ่านมาซึ่งเป็นหนังที่เขาสร้างเพื่อผู้ชมวัยเด็ก และคนรุ่นใหม่มารุ่นแล้วรุ่นเล่าก็คงพูดแทนได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว รวมถึงในงานอย่าง Howl's Moving Castle ที่ มิยาซากิ พยายามใช้งานภาพแบบวิดีโอเกมมาช่วยเล่าเรื่องราวเนื้อหาในแบบของเขา "ผมอยากจะพยายามส่งสารนี้ไปถึงเด็กๆ บอกพวกเขาว่าใช้ชีวิตให้คุ้มค่า"
       
       นอกจากเนื้อหาผลงานของ มิยาซากิ ยังมีงานภาพอันวิจิตร เต็มไปด้วยรายละเอียด และเขายังได้ชื่อว่าเป็นคนทำอนิเมชั่นที่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยงานโดยไม่จำเป็น และยังลงมือวาดภาพด้วยตัวเองต่อไปซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าเป็นงานที่หนักมาก "คุณอาจจะสงสัยว่าผู้กำกับอนิเมชั่นมีหน้าที่ทำอะไรกันแน่ สำหรับผมที่เป็นอนิเมเตอร์มาก่อน ก็คือการวาดรูป ผมจะถอดแว่นออกแบบนี้" เขากล่าวพร้อมโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อแสดงให้เห็นถึงท่าทางในการทำงานของตัวเอง "มันค่อนข้างจะหนักอยู่พอสมควร"

       มิยาซากิ กล่าวว่าเขาไม่สามารถทำงานวันละ 12 หรือ 14 ชั่วโมงได้อีกต่อไป แค่ 7 ชั่วโมงก็ถึงขีดจำกัดแล้ว และในเวลาเดียวกันการมอบงานให้คนอื่นทำแทน ก็ไม่ใช่วิธีในแบบของเขา "ถ้าทำแบบนั้นได้ ผมก็คงทำไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางแบบของผม ... ผมต้องวางดินสอลง และกลับบ้านเสียที"
       
       สำหรับอนาคตของ Studio Ghibli ที่ มิยาซากิ ก่อตั้งขึ้นมากับ อิซาโอะ ทากาฮาตะ เมื่อปี 1985 นั้นเขากล่าวว่าจะอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ต่อไป ส่วนตัวของเขาเองก็คงถึงเวลาที่จะได้ทำอย่างอื่นเสียที
       
       "คุณคงไม่สามารถทำอะไรกับปัญหาแบบนี้ได้หรอกครับ มันเป็นผลของวัยที่มากขึ้น" มิยาซากิ ยอมรับ ฝ่าย โทชิโอ ซูสุกิ ประธานและโปรดิวเซอร์ของ Studio Ghibli ก็เปิดเผยว่าการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งนี้ คือสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน "ทุกอย่างมีวันสิ้นสุด ... ดีที่สุดแล้วที่ไม่ต้องมาเกษียณเอาเมื่อถึงวันที่เราหมดสภาพไปแล้ว"
       
       "ผมอยากจะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอนิเมชั่นมาตลอด เยอะแยะเลยที่ผมอยากจะทำจริงๆ ... สำหรับผมแล้วคำว่าการพักผ่อนอาจจะมีความหมายแตกต่างจากที่คนอื่นๆคิดกัน ผมว่าการอยู่เฉย ๆ มันออกจะน่าเบื่อไปหน่อย"

       ความสำเร็จของ มิยาซากิ ถือว่ามีส่วนอย่างยิ่งในการยกระดับให้ญี่ปุ่นกลายเป็นตลาดอนิเมชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะเมื่อปี 1996 ที่เขาขายสิทธิ์การจัดจำหน่ายผลงานของ Studio Ghibli ให้กับ Walt Disney Studios จนทั่วโลกได้มีโอกาสชมผลงานของ มิยาซากิ และบริษัทได้ง่ายขึ้น
       
       Princess Mononoke คือหนึ่งในผลงานเรื่องแรกๆ ของ มิยาซากิ ที่ได้รับการเผยแพร่ไปในวงกว้างทั่วโลก โดยหนังที่เล่าเรื่องของหญิงสาวผู้เติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของหมาป่าเรื่องนี้ นำเสนอเนื้อหาในแบบของ มิยาซากิ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นการใช้ชีวิตร่วมกันของมนุษย์ และธรรมชาติ
       
       ผลงานของ มิยาซากิ มักจะวาดภาพให้เห็นถึงโลกเหนือจินตนาการ ซึ่งเทคโนโลยีมักจะถูกบดบังด้วยธรรมชาติ และความลี้ลับ อย่างใน My Neighbor Tottoro ที่เขาทุ่มเทสร้างงานภาพอนิเมชั่นอันเต็มไปด้วยรายละเอียดเพื่อสร้างภาพชีวิตชนบทของญี่ปุ่นให้เต็มไปด้วยความงดงาม และลึกลับ โดยเฉพาะภาพเขตป่าลึก และนาข้าวสีเขียว

       สำหรับผลงานเรื่องล่าสุด The Wind Rises มิยาซากิ ได้มีโอกาสกลับมาเล่าถึงประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามของญี่ปุ่นอีกครั้ง หลังเคยมีส่วนร่วมใน Grave of the Fireflies ที่เล่าถึงผลกระทบของสงครามมาแล้ว
       
       The Wind Rises ผลงานเรื่องที่ 11 ซึ่งจะถือว่าเป็นหนังที่ มิยาซากิ กำกับเองเรื่องสุดท้าย เริ่มเรื่องด้วยภาพบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟ และเต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวในแถบคันโตเมื่อปี 1926 ก่อนเล่าถึงเหตุการณ์ในสงครามโลก โดยมีเนื้อหาดัดแปลงมาจากชีวิตของนักออกแบบเครื่องบินรบญี่ปุ่น ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       มิยาซากิ แสดงออกถึงความชื่นชอบส่วนตัวต่อเทคโนโลยีการบินในหนังเรื่องนี้ และนำเสนอภาพของเครื่องบินที่ถูกบดขยี้ในสงครามแบบที่เขาเกลียดชัง เรื่องราวใน The Wind Rises กล่าวถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจของตัวเอกนาม จิโร โฮริโคชิ ที่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในสงคราม แต่ก็เป็นการนำเสนอที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจตัวละคร โดยเป็นภาพยนตร์ซึ่ง มิยาซากิ สร้างด้วยแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากบิดาของเขาเอง ที่เคยทำโรงงานสร้างชิ้นส่วนเครื่องบินในช่วงสงคราม
       
       แม้จะพยายามใช้ชีวิตแบบเงียบๆ ให้ผลงานพูดแทนตัวเองมาตลอด แต่ มิยาซากิ ก็เคยแสดงความเห็นต่อประเด็นถกเถียงรุนแรงอยู่บ้าง อย่างเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เขาได้ออกปากต่อต้านความคิดของนายทหารฝ่ายขวาคนสำคัญของกองกำลังป้องกันตนเอง ที่พยายามเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่ง มิยาซากิ ไม่เห็นด้วยและถึงขั้นพูดว่าความคิดแบบนั้นช่าง "น่าขยะแขยง" จนเขาก็โดนกลุ่มอนุรักษ์นิยมในประเทศวิจารณ์เช่นเดียวกันว่าแสดงความเห็นแบบ "ไม่มีความเป็นญี่ปุ่น" เลย

       จุดยืนต่อต้านสงครามของ มิยาซากิ เด่นชัดมาตลอด ร่วมถึงเมื่อครั้งที่เขาขอปฏิเสธไม่ไปร่วมงานออสการ์เพื่อรับรางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมของ Spirited Away ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาคงไม่สามารถร่วมงานเฉลิมฉลองในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์อันน่าสลด ณ จุดหนึ่งของโลกได้ ซึ่งเขาหมายถึงสงครามในอิรักนั่นเอง
       
       Spirited Away คือผลงานเด่นอีกเรื่องของ มิยาซากิ โดยหนังเล่าถึงเรื่องราวของ จิฮิโระ เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ที่หลงเข้าไปในโลกของ ปีศาจ, ภูติผี และเทพเจ้า หลังเธอพบว่าพ่อกับแม่ของตัวเองถูกสาบให้กลายเป็นหมู ถือว่าเป็นผลงานในแบบที่ มาร์โค มุลเลอร์ ผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส ในปี 2005 กล่าวว่า
       
       "วิสัยทัศน์อันน่าทึ่งของเขาผสมทั้งศิลปะจินตนิยม และความเป็นมนุษยนิยมเข้าไว้ด้วยกัน ... เป็นความความพิศวงที่หนังของเขาได้ปลุกความงดงามในจิตใจของเราทุกคนให้ตื่นขึ้น"

 

 

Manager Online