เฉินหลงเศร้า ไปฮอลลีวู้ดถูกดูถูก

เฉินหลงอยู่ในวงการบันเทิงมากหลายปี นักแสดงรุ่นพี่รุ่นน้องต่างเรียกเขาว่า 'พี่ใหญ่' เห็นได้ชัดว่า บารมีของเขา ในวงการภาพยนตร์มีไม่น้อย แต่ตอนเป็นวัยรุ่นพี่ใหญ่คนนี้ถูก 'ขัดเกลา' ไม่น้อย ซึ่งพี่ใหญ่เฉินหลงได้หวนรำลึกความหลังให้ฟัง แถมยังเล่าถึงประสบการณ์ ที่ยากจะลืม จากสิ่งที่ได้รับในฮอลลีวู้ด ให้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับคนที่คิดว่าฮอลลีวู้ดนั้นน่าศิวิไลซ์นัก

ก่อนมีชื่อเสียง ตอนที่เป็นตัวประกอบ เขามักถูกผู้กำกับฯ ด่าอยู่บ่อยๆ 'ตอนนั้นผู้กำกับฯ ใช้คำด่าแรงๆ ด่าถึงแม่ ทำให้ผมน้ำตาอาบแก้ม เลือดขึ้นหน้า จะเอากระบองไปตีเขา โชคดีที่ตอนนั้น หงจินเป่ามาขวางเอาไว้' แถมตอนนั้นพี่ใหญ่คนนี้ ก็ต้องทำงานทุกอย่างที่มีเข้ามา เสี่ยงอันตรายมีบาดแผลกลับบ้านบ่อยครั้ง เขาบอกว่า แผลที่เห็นตอนนี้ ส่วนใหญ่เป็นแผลเก่าตอนนั้น เมื่อพูดถึงนักแสดงบู๊ชื่อดังอีกคน อย่าง บรูซ ลี พี่ใหญ่ยอมรับนับถือสนิทใจ 'ตอนเป็นวัยรุ่น ผมเคยร่วมแสดงในหนังของ บรูซ ลี จำได้ว่า มีครั้งหนึ่ง เป็นฉากที่ บรูซ ลี ต้องสู้หนึ่งต่อสิบ ผมเป็นคนสุดท้าย เขาไม่ตั้งใจ ทำปลายตาผมเจ็บ แล้วหลังจากผู้กำกับฯ สั่งคัต เขารีบเขามากอดผม แล้วบอกขอโทษ ต่อมาเขาให้ผมช่วยแสดงในอีกหลายฉาก ทำให้ผมหาเงินได้วันหนึ่งพันกว่าหยวน ผมรู้ว่า เขาดูแลผมเป็นพิเศษ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก'

ดังนั้น นอกจากเรื่องฝีมือการต่อสู้แล้ว เฉินหลงจึงเลื่อมใสนิสัยของ บรูซ ลี ด้วย หลังผ่านประสบการณ์ลำบากมากมาย สุดท้ายเฉินหลงก็ได้มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์ฮ่องกง แต่คนที่มีปณิธานยิ่งใหญ่อย่างเขา ไม่ขอหยุดอยู่เพียงแค่นี้ เขาบอกว่า มีช่วงหนึ่ง เขาบินไปที่ฮอลลีวู้ดหางานทำ แต่เพราะไม่รู้ภาษาอังกฤษ ทำให้ล้มเหลวกลับมา 'ตอนนั้นพอไปถึงฮอลลีวู้ดถูกดูถูกตลอด ถูกสั่งให้แสดงกังฟูเหมือนเป็นตัวตลก' เขาเล่าประสบการณ์ยากจะลืมครั้งหนึ่งให้ฟังว่า เขาถูกสั่งให้ไปเป็นแขกรับเชิญแสดงโชว์ ในรายการยอดฮิตรายการหนึ่ง พอไปถึง เห็นมีคนดำรอยสักเต็มตัวนั่งอยู่เต็มไปหมด ในใจก็คิดว่าแปลกๆ แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จึงจำใจต้องขึ้นเวที เริ่มแรกพิธีกรให้เขาแสดงกังฟูโชว์ ต่อมาพิธีกรก็ถามผู้เข้าชมว่า มีใครอยากปะมือกับเฉินหลงบ้าง 'ตอนนั้นผมโมโหจริงๆ เพราะในห้องส่ง มีหนุ่มฉกรรจ์อยู่ตั้งเยอะ เขาขอเพียงมีใครสักคนที่อยากดัง ขึ้นมาทุ่มผมลงพื้นให้ได้ ผมคนจีนรูปร่างเล็กกว่าพวกเขาอยู่แล้ว มันจึงรู้สึกช่างไม่ยุติธรรมเลย'

ผลตอนนั้นมีหนุ่มคนหนึ่ง ขึ้นมาบนเวทีจริงๆ บอกว่าอยากลองทดสอบฝีมือด้วย โชคดีที่เขาผู้นั้น ออกหมัดไม่เร็วเท่าพี่ใหญ่ สุดท้ายจึงถูกพี่ใหญ่ของเราล้มอย่างไม่เป็นท่า หลังจากนั้น พอเฉินหลงกลับมาที่รถ เขาก็ด่าเฉินจื้อเฉียง ผู้จัดการส่วนตัวยกใหญ่ ซึ่งเฉินหลงบอกว่า คำด่านี้เขาจำได้แม่นเลย 'ครั้งหน้าคุณต้องถามให้ชัดเจนก่อนรู้มั้ย ครั้งนี้ถือว่าโชคดี ถ้าไอ้หนุ่มคนนั้นอยากดังจริงๆ ฉันคงมีอันตรายไปแล้ว' จากเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้เขาตั้งใจว่า จะไม่กระเสือกกระสนไปฮอลลีวู้ดเอง แล้วมาวันนี้ ก็กลับเปลี่ยนเป็นฮอลลีวู้ดต้องเป็นฝ่ายมาเชิญเขาไป 'พวกเขาต้องขึ้นเครื่องบินจากอเมริกามาขอสัมภาษณ์ผม ตอนนี้เป็นฮอลลีวู้ดต้องการผม ไม่ใช่ผมต้องการฮอลลีวู้ดอีกแล้ว'

และยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ ถึงถ่ายหนังฮอลลีวู้ด เขาก็ขอถ่ายในสิ่งที่ตัวเองต้องการด้วย อย่างเช่น ขอเพิ่มบทประโยคที่พูดว่า 'พวกเราไม่ควรขโมยสมบัติของประเทศ' เรียกว่าเป็นคนถ่ายทอดจิตใจรักชาติอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ เฉินหลงยังเผยอีกว่า ตอนนี้ที่หวังมากที่สุดคือ ให้ผู้ชมสนับสนุนภาพยนตร์จีน และเมื่อตบท้ายขอถามถึงเรื่องครอบครัว กลับกลายเป็นว่าเหมือนโดนจี้สกัดจุด ถึงขนาดสูเสี่ยวหมิงที่เป็นเพื่อนกับเฉินหลงมานาน ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทนว่า 'เขา (เฉินหลง) ค่อนข้างเข้มงวดกับลูกชายมาก แต่ในใจก็รักแหละ' ส่วน ฝาง จู่ หมิง ลูกชายพูดถึงพ่อสั้นๆ ว่า 'ผมรู้ว่าตอนนี้ในใจ พ่ออยากก้าวข้ามตัวเอง ผมก็หวังว่าพ่อจะประสบความสำเร็จขึ้นไปให้สูงอีกขั้น'

นอกจากลูกชายแล้ว อีกคนที่เฉินหลงเป็นห่วงคือพ่อเขา เฉินหลงบอกว่าพ่อห่วงใยเขามาตลอด ซึ่งยังจำได้ว่าตอนอายุ 20 เพราะงานในฮ่องกงไม่ราบรื่น เฉินหลงจึงบินไปขออยู่กับพ่อที่ออสเตรเลีย 'ตอนนั้นพ่ออายุ 60 แล้วยังต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ต่อมาผมอยากกลับฮ่องกง พ่อต้องใช้เงินที่หามาซื้อห้องพักให้ผม' และความรักของพ่อนี่เอง ที่ทำให้เมื่อเฉินหลงมีชื่อเสียงแล้ว เขาก็ไม่เคยลืมที่จะตอบแทน เหตุนี้ ที่ผ่านมา เขาจึงแอบซื้อบ้านหลังโตตกแต่งงดงาม ไว้รอรับให้พ่อมาอยู่ด้วย สมแล้วที่ได้ชื่อว่าลูกกตัญญู

สยามดารา