"เจ็ทลี" ท้อ ทำกี่เรื่อง ก็โดนจีนแบน

"เจ็ทลี" หรือ "หลี่เหลียนเจี๋ย" สุดยอดดารากังฟูแห่งจีนแผ่นดินใหญ่ ที่กำลังไปได้สวยในฮอลลีวูด ออกอาการไม่พอใจมาตรการเซนเซอร์ภาพยนตร์ในประเทศของตัวเอ งที่เข้มงวดเสียจนเพื่อนร่วมชาติของเขา แทบจะไม่ชมผลงานของเขาในช่วงหลังนี้เลย ตามรายงานจาก asianbite และ ANI

เจ็ทลี ที่โด่งดังจากการเป็นนักแสดงหนังฮ่องกง และไต่เต้าจนกลายเป็นดาวของฮอลลีวูด ได้ออกมาระบายความรู้สึก ถึงมาตรการเซนเซอร์ภาพยนตร์ของบ้านเกิดตัวเองว่า เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ โดยกระตุ้นให้พวกเขามองถึงความเป็นจริง และย้ำว่ามาตรฐานการเซนเซอร์ของทางการจีน เปิดโอกาสให้ผู้สร้างทำหนังได้แต่จีนย้อนยุคเท่านั้น

"ย้อนไปสมัยที่ผมถ่ายทำเรื่อง The Bodyguard From Beijing (บอดี้การ์ด ขอบอกว่าเธอเจ็บไม่ได้) ในปี 1994 แต่เรื่องนั้นกลับถูกแบนในเมืองจีนด้วยเหตุผลว่าเนื้อหาในหนังขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง"

ซึ่งผลงานจากฮอลลีวูดที่ผ่านมาของยอดดารากังฟูรายนี้ต่างถูกแบนในจีนบ้านเกิดหลายเรื่อง ทั้ง Romeo Must Die ในปี 2000 ที่ไม่ผ่านเซนเซอร์เพราะเสนอภาพชาวจีนที่เป็นแก็งนักเลง ขณะที่ Kiss of the Dragon ในปี 2001 ก็ไม่วายถูกแบนเนื่องจากบทตำรวจชาวจีนที่จะไปฆ่าคนในต่างประเทศของเขา

"หนังไม่ควรจะต้องถูกนำไปอิงกับเรื่องจริงทั้งหมด จริงๆ แล้วหนังแอ็คชันก็มีทั้งตัวละครที่เป็นตัวดีและตัวร้าย ถ้าหนังที่เกี่ยวกับแก็งก็ไม่เหมาะสม หนังที่เกี่ยวกับตำรวจก็ไม่เหมาะสม แล้วเราจะเหลือเรื่องอะไรที่จะทำออกมาโดยไม่สร้างข้อโต้แย้งได้อีกบ้าง ก็คงมีแต่หนังจีนโบราณเท่านั้นกระมังที่สร้างออกมาได้" เจ็ทลีระบาย โดยชี้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์จีนกำลังถูกทำร้ายด้วยความเข้มงวดของกองเซนเซอร์ในประเทศที่เป็นอยู่นี้

กฎของกองเซนเซอร์ในประเทศจีนอนุญาตให้หนังต่างประเทศไปเข้าฉายในประเทศได้ปีล่ะ 20 เรื่องเท่านั้น และที่ผ่านการฉายมาได้ก็ยังต้องถูกเซนเซอร์อย่างหนักอีกด้วย

ที่เพิ่งเป็นเรื่องเป็นราวผ่านมาได้แก่ บทกัปตันเซาเฟงของโจวหยุนฟะในภาพยนตร์สุดดังเรื่อง Pirates of the Caribbean: At World's End ที่บทของเขาต้องถูกหั่นลงครึ่งหนึ่ง เพราะทางการเห็นว่าโจรสลัดชาวจีนที่หัวล้านและเต็มไปด้วยแผลเป็นบนใบหน้าเป็นการล้อเลียนชาวจีนของชาวตะวันตก

โดยผลงานล่าสุดที่ไม่ได้รับการฉายในเมืองจีนในปีนี้ได้แก่ Rush Hour 3 ของเฉินหลงเช่นกัน

"ผมหวังว่าผู้ชมที่นั้นจะมีวิจารณญาณและพัฒนาพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรที่เป็นหนังเพื่อความบันเทิง อะไรที่เป็นเรื่องจริงในชีวิต ไม่ใช่อะไรก็ต้องอิงกับความจริงไปเสียหมด" เจ็ทลีเปิดใจ

Manager Online