เผยบทสนทนาสุดท้ายของ “เลสลี่ จาง” (Leslie Cheung) ก่อนปลิดชีพตัวเองเมื่อ 8 ปีก่อน

วันที่ 1 เม.ย. นอกจากจะเป็นวันโกหกโลก “เอพริลฟูลส์ เดย์ส” (April Fool's Day) แล้ว สำหรับชาวฮ่องกงยังเป็นวาระการรำลึกถึงการสูญเสียซุปเปอร์สตาร์ที่คนฮ่องกงรักมากที่สุดอย่าง “เลสลี่ จาง” (Leslie Cheung) ด้วย และในปีนี้ ซึ่งเป็นวาระการเสียชีวิตปีที่ 8 ของเขา ได้มีการเปิดเผยถึงคำพูดและเรื่องราวในวาระสุดท้ายของ “เลสลี่ จาง” จากปากคำของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

หมิงเป้ารายสัปดาห์ ได้เปิดเผยถึงบทสัมภาษณ์ของ อัลเฟรด ม็อก อินทีเรียดีไซน์เนอร์ เพื่อนสนิทที่เป็นคนสุดท้าย ซึ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับ เลสลี่ จาง ก่อนเขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเมื่อวันนี้ของเมื่อ 8 ปีก่อน

ในวันที่ 1 เม.ย. 2003 กลายเป็นเรื่องช็อควงการบันเทิง เมื่อมีรายงานข่าวการเสียชีวิตของ เลสลี่ จาง ที่ได้กระโดดลงมาจากชั้นที่ 8 ของโรงแรมแมนดารินโอเรียนทัลเมื่อเวลาประมาณ 18:40 น. ซึ่งในตอนแรกทุกคนคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของมุขตลกล้อเล่นในวันเอพริลฟูลส์ เดย์ส จนกระทั่งต่อมาจึงมีการยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง

ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณครั้งนั้นไม่นานนัก เลสลี่ จาง ได้ร่วมรับประทานอาหาร และพูดคุยกับเพื่อนอย่าง อัลเฟรด ม็อก เป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมง โดยนักแสดงชื่อดังเลือกสั่งสปาเก็ตตี้ และดูมีท่าทางอยากอาหารดี นอกจากนั้นยังค่อนข้างระมัดระวังกับโรคซาร์ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานั้นเป็นพิเศษ

“เขาประหม่านิดหน่อย แล้วก็ดูมือสั่นด้วย เขายังถามถึงเลขหมายบัตรประชาชนของผมด้วย” ต่อมา ม็อก จึงได้ทราบว่า เลสลี่ จาง ต้องการนัดพบเขาในครั้งนั้น ก็เพราะต้องการเลขบัตรประชาชนสำหรับการเขียนพินัยกรรมนั่นเอง ซึ่งเพื่อนสนิทคนนี้ก็ได้รับมรดกส่วนหนึ่งไปด้วย แต่เขาไม่ได้เปิดเผยว่าคืออะไร นอกจากนั้นเขายังทราบในเวลาต่อมาว่า เลสลี่ จาง ได้จองห้องในโรงแรมเอาไว้ และวางแผนการปลิดชีพตัวเอง ก่อนที่จะถึงการนัดพบครั้งนั้นแล้ว

ระหว่างมื้ออาหาร เลสลี่ เอ่ยปากถามความเห็นขึ้นมาว่า จะทำอย่างไรหากทราบว่าตัวเองป่วย เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ซึ่ง อัลเฟรด ม็อก ตอบว่าเขาจะกินยานอนหลับ … “ผิดแล้วล่ะ ถ้าจะตาย ง่ายที่สุดก็คือกระโดดลงมาจากตึกไงล่ะ” เลสลี่ จาง พูดออกมาในวันนั้น

ม็อก ให้ข้อมูลว่า เลสลี่ จาง ได้พยายามพบแพทย์หลายครั้ง เพื่อรักษาปัญหาสุขภาพทางจิต ปัญหาก็คือจิตแพทย์หลายคน ต่างให้คำแนะนำที่ต่างๆ กันไป ทำให้เขายิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก โดยครั้งหนึ่ง จู่ๆ เลสลี่ จาง ก็พูดขึ้นมาว่า “โรงแรมนี้หน้าต่างเปิดไม่ได้นะ” ซึ่ง ม็อก ก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไรในตอนนั้น

หลังเสร็จจากมื้ออาหาร เลสลี่ จาง ยังไปส่งเพื่อนที่สำนักงาน พร้อมกล่าวลาว่า “ผมคงจะรับโทรศัพท์คุณไม่ได้อีกแล้ว” ซึ่ง อัลเฟรด ม็อก เองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และพยายามติดต่อไปที่พี่สาวของ เลสลี่ จาง เพื่อให้ช่วยดูแลเขาหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหยุดยั้งเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นได้

ก่อนจะเสียชีวิต เลสลี่ จาง ยังมีแผนที่จะกำกับหนังว่าด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเกาะชิงเต่าในปี 1939 แต่ต่อมาเกิดปัญหาขึ้น ทำให้โปรเจ็คหนังเรื่องนี้ต้องสะดุดลง และเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องผิดหวังมาก

“เขาอยากจะเป็นผู้กำกับหนัง … และยังได้ทีมงานที่เคยร่วมงานกันใน Farewell My Concubine มาช่วยงานด้วย ทุกอย่างก็ราบรื่นดี จนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกว่าบทหนัง กับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อาจจะขัดแย้งกัน หลังจากนั้นนายทุนยังปฏิเสธที่จะให้เงินกับเขาอีก เลสลี่ เลยรู้สึกหดหู่มากๆ”

ม็อก ยังเปิดเผยอีกว่า ในการบันทึกเสียงงานเพลง เลสลี่ จาง ก็เริ่มรู้สึกว่าเสียงร้องของตนเองไม่สมบูรณ์แบบ ปัญหาเรื่องงานกลายเป็นสิ่งที่กดดันเขาอย่างหนัก จนมีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และเริ่มนอนไม่หลับ ในช่วงก่อนที่จะตัดสินใจจบชีวิตตนเอง

Manager Online