The Crucible หนังฮิตประเด็นแรง : ทวงความยุติธรรมให้เหยื่อกาม

The Crucible ภาพยนตร์สะท้อนปัญหาสังคมจากเกาหลี ที่เล่าถึงเหตุการณ์จริง เมื่อเด็กในโรงเรียนสำหรับผู้พิการ ได้ถูกละเมิดทางเพศ เป็นคดีอื้อฉาวที่มีผู้ต้องหาเป็นทั้งครู, ผู้บริหาร กระทั่งครูใหญ่ จนก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องอย่างหนักจากกลุ่มผู้ชม ให้มีการรื้อฟื้นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน กลับมาสอบสวนพิจารณากันใหม่อีกครั้ง

ยิ่งฉายก็ยิ่งแรงสำหรับ The Crucible ผลงานที่มีดาราชื่อดังอย่าง "กงยู" (Gong Yoo) และ "จองยูมี" (Jung Yoo Mi) แสดงนำ นับแต่เข้าฉายเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา และถึงขณะนี้มียอดขายตั๋วถึง 2.5 ล้านใบเข้าไปแล้ว แต่ความสำเร็จทางการตลาดดังกล่าวอาจจะถือเป็นเรื่องเล็กน้อยไปถนัดตา เมื่อผลงานชิ้นนี้สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนที่กระเพื่อมไปไกลกว่านั้นมาก

เช่นเดียวกับที่ยอดผู้ชมของหนัง The Crucible เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากเข้าฉายมาได้ 2 สัปดาห์และไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รื้อฟื้นคดีความการล่วงละเมิดทางเพศ เหตุการณ์จริงที่เป็นต้นตอของเรื่องราวในหนัง กลับมาสอบสวนกันใหม่อีกครั้ง เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดที่รอดตัวในขั้นตอนของการพิจารณาคดี กลับมาลงโทษชดใช้ให้สมกับที่พวกเขาได้กระทำลงไป มากกว่าที่เป็นอยู่

ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. มีชาวเน็ตเกาหลีกว่า 40,000 รายได้ร่วมลงชื่อในคำร้อง เพื่อขอให้มีการรื้อฟื้นคดีล่วงละเมิดทางเพศดังกล่าว ที่มีทั้งครูและเจ้าหน้าที่ใน โรงเรียนกวางจูอินฮวา เกี่ยวข้องอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหา ในคดีความที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2000 แล้ว

"โรงเรียนควรจะขอโทษเหยื่อ และวางมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำสอง ส่วนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในท้องถิ่นก็ควรสืบสวนคดีข่มขืนที่เกิดขึ้น และคดีล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อลงโทษคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดอีกครั้ง" สมาชิกของชุมชนออนไลน์ในเว็บไซต์ Daum กล่าวถึงการร่วมกันลงชื่อเพื่อยื่นคำร้องครั้งนี้

ขณะที่ตัวของ ฮวางดงฮยอก ผู้กำกับภาพยนตร์ก็กล่าวถึงผลงานของเขาที่กลายเป็นกระแสสังคม ที่ใครๆก็พูดถึงไปแล้วว่า "ผมหวังว่าหนังจะนำมาซึ่งการพูดคุย และถกเถียงนะครับ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วและแรงแบบนี้ ประเด็นที่ถูกนำเสนอในหนังไม่ว่าจะเป็น - การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก, สายสัมพันธ์อันทุจริตระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับครอบครัวของผู้มีอิทธิพล, ความเฉยเมยจากลูกจ้างของรัฐ - ล้วนไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ในข่าวรายวัน"

หนังที่สร้างจากหนังสือของนักเขียนหญิง "กงจียอง" ที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน ได้กลายเป็นมากกว่าหนังฮิตเรื่องหนึ่งไปแล้ว เพราะมันได้สั่นสะเทือนไปถึงทั้งแวดวงการศึกษา และกระบวนการยุติธรรม เมื่อคนส่วนใหญ่มองว่า ผู้กระทำผิดกลับได้รับผลประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรม กว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

ใน The Crucible กงยู รับบทเป็น "คังอินโฮ" ครูหนุ่มผู้มีอดีตอันเจ็บปวด ที่ได้เข้าทำหน้าที่ในโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติทางการได้ยิน แต่กลับพบว่าเด็กนักเรียนของที่นี่ทั้งหญิงและชาย ได้ตกเป็นเหยื่อกามของครูใหญ่ ผู้ทรงอิทธิพลและได้รับการนับหน้าถือตาในชุมชน

แม้ คังอินโฮ จะพยายามใช้ลู่ทางของกฏหมายก็ต้องพบว่า ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน กลับเลือกที่จะปกป้องชื่อเสียงของโรงเรียนและชุมชน แทนที่จะให้ความยุติธรรมกับเด็กๆ ซ้ำร้ายในชั้นศาล ประวัติที่เคยมีสัมพันธ์กับนักเรียนของตัวเองของ คังอินโฮ ยังถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้งด้วย

The Crucible นำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสลดหดหู่ และดูสิ้นหวัง แต่เรื่องราวซึ่งเคยเกิดขึ้นที่จริงที่โรงอินฮวานั้นก็น่าหดหู่ไม่แพ้กัน

คดีความของจริง ที่เป็นต้นตอของเรื่องราวในหนังนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 แต่กว่าเรื่องจะถึงมือของกฎหมายก็ต้องรอให้ถึงอีก 5 ปีต่อมา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการได้เข้ามาสอบส่วนเหตุที่เกิดขึ้นในปี 2005 ที่มีผู้กระทำผิดเป็นทั้ง ครู, พนักงาน และผู้บริหารของโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษแห่งนั้น จำนวนถึง 6 คน

ผู้บริหารของโรงเรียนที่สื่อเรียกด้วยนามแฝงว่า "คิม" วัย 62 ปีถูกตั้งข้อหาในเดือน พ.ย. 2005 ในฐานความผิดข่มขืน และล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 7 - 20 ปี ขณะที่ "ลี" ครูวัย 40 ปี ก็ถูกจับด้วยข้อหาเดียวกัน จนทั้งสองถูกตัดสินให้มีความผิด และต้องโทษจำคุกเป็นเวลาเพียง 1 และ 2 ปีตามลำดับเท่านั้น

จนกระทั่งปี 2008 หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนได้แจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเพิ่มอีก 4 คน ในฐานความผิดแบบเดียวกัน ที่ผู้ต้องสงสัยประกอบไปด้วยทั้ง "คิม" ครูใหญ่ของโรงเรียน, และ "ปาร์ค" ครูวัย 63 ปี โดยในตอนแรก คิม ถูกลงโทษจำคุก 5 ปี ก่อนจะถูกปล่อยตัวพร้อมกับโดนลงทัณฑ์บน (เขาเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งในปี 2009) ส่วน ปาร์ค นั้นก็โดนลงโทษเพียงทัณฑ์บนเช่นเดียวกัน

ยังมีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอีก 2 คนได้แก่ "คิม" ผู้บริหารวัย 45 ปี และ "ชอน" ครูวัย 45 ปี ที่รอดพ้นจากความผิดเพราะคดีหมดอายุความ นอกจากนั้น ชอน ยังได้กลับไปทำงานที่โรงเรียนอีกครั้งตั้งแต่ ม.ค. 2008 ด้วย

ขณะที่ครอบครัวของเหยื่อไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ หลังจากการพิจารณาคดีในครั้งนั้นแต่อย่างใด โดยที่ผู้ต้องหาได้รับโทษเพียงทัณฑ์บนก็เพราะศาลมองว่าความผิดดังกล่าวเป็นเพียงความผิดครั้งแรก นอกจากนั้นพวกเขายังสามารถตกลงในเรื่องค่าเสียหายกับผู้ปกครองของเด็กได้

"ผู้ปกครองของเหยื่อบางคนก็เป็นผู้พิการด้วย พวกเขายอมยกฟ้องเมื่อได้รับการโน้มน้าวจากตัวของผู้กระทำความผิด" ปาร์คชานกอน ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษคดีความการล่วงละเมิดทางเพศโรงเรียนกวางจูอินฮวา ที่รัฐบาลท้องถิ่นตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ให้ความเห็น

หนึ่งในผู้ร่วมลงรายชื่อเพื่อขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่รายหนึ่ง กล่าวว่าพวกเขารับไม่ได้เลย กับบทสรุปของคดีครั้งนั้น และต้องการความเปลี่ยนแปลง "มีบางคนที่ไร้ซึ่งความละอาย ผมต้องการเรียกร้องให้มีการลงโทษคนทำผิดที่แท้จริง และหวังว่าเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายจะตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี"

โดยกลุ่มคลื่นไหวได้เริ่มต้นล่ารายชื่อดังแต่สัปดาห์ก่อน แสดงความคาดหวังว่า พวกเขาจะได้รายชื่อครบภายในวันที่ 20 ต.ค. ในเวลาเดียวกันยังมีผู้ส่งคำร้องเข้าไปที่หน่วยงานท้องถิ่นโดยตรง เพื่อให้มีการสืบสวนคดีดังกล่าวใหม่อีกมากมาย

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายได้ให้ความเห็นว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเปิดคดีดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผู้พิพากษาได้มีคำตัดสินไปแล้ว ขณะเดียวกันหน่วยงานต่าง ๆ ได้พยายามออกมาตรการเพื่อเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่วายถูกมองว่า เชื่องช้า, ไร้ประสิทธิภาพ และไม่มีความหมาย

เจ้าหน้าที่ของเขตกวางซัน ที่โรงเรียนซึ่งเป็นปัญหาตั้งอยู่ ได้ส่งจดหมายไปถึงมูลนิธิที่เป็นเจ้าของโรงเรียน เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหาร เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น "คณะกรรมการบริหารของโรงเรียน ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา หรือผู้พิการ เราถึงร้องไปที่มูลนิธิให้มีการเปลี่ยนแปลง เราไม่ได้มีอำนาจตรงเกี่ยวกับการพิจารณาคดี แต่ก็พยายามคิดมาตรการที่เหมาะสมตามกรอบของกฎหมาย" เจ้าหน้าที่เขตให้ความเห็น

ส่วนเจ้าหน้าที่เขตการศึกษาก็ยอมรับผิด ที่พวกเขาไม่สามารถเร่งรัดดำเนินการทางกฎหมายในคดีที่เกิดขึ้น ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ "ในฐานะของเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบการศึกษาของคนพิการ เราขออภัยจริงๆครับที่ไม่สามารถผลักดันการพิจารณาคดีให้มีประสิทธิภาพไปกว่านี้ได้"

แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามแก้ไขปัญหาต่างๆเท่าที่จะทำได้ในขณะนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดรอดจากคำวิจารณ์อันรุนแรง ของหลายฝ่ายที่มองว่าการแก้ไขเป็นไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะขยับตัวกันได้ก็เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านไปหลายปีแล้วได้

"ขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดมันจบไปหมดแล้ว แต่พวกเขาไม่สามารถตั้งข้อหาอย่างที่มีกำหนดในกฎหมายได้เลย พวกเจ้าหน้าที่การศึกษาพวกนี้จะไปทำอะไรได้ ทั้งเหยื่อ และเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีบางราย ยังอยู่ที่โรงเรียนแห่งนั้นด้วยซ้ำไป" ชาวเกาหลีใต้ผู้หนึ่งให้ความเห็น

แม้แต่ตัวผู้กำกับ ฮวางดงฮยอก เองก็ยอมรับว่าการเปิดพิจารณาคดีขึ้นมาอีกครั้งนั้น เป็นไปได้ยากมาก แต่ในมุมมองของเขา มันมีลู่ทางอีกมากมายที่จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่ได้เกิดขึ้น

"แน่นอนไอ้เรื่องที่จะเปิดคดีขึ้นมาใหม่ เพื่อนำตัวผู้ต้องหากลับไปขึ้นศาล และลงโทษพวกเขามันคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่เราสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเหยื่อต้องทนทุกข์เพียงใด เพื่อที่จะหาวิธีช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมาแม้แต่คำขอโทษพวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับเลย"

Manager Online