หลิวเต๋อหัว/เจทลี/ทาเคชิ กับบทสัมภาษณ์เยือนไทย เปิดใจใน The Warlords
ต้องถือว่าปัจจุบัน เป็นยุคทองของการร่วมงานกันของเหล่าซูเปอร์สตาร์ของเอเชีย และหนึ่งในนั้น โปรเจ็คท์ที่น่าสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้น The Warlords 3 อหังการ์ เจ้าสุริยา ที่เป็นรวมกันครั้งแรกของ 3 ซูเปอร์สตาร์จากจีนแผ่นดินใหญ่ (เจทลี - Jet Li), ไต้หวัน (จินเฉิงอู่ - ทาเคชิ คาเนชิโร - Takeshi Takeshiro) และฮ่องกง (หลิวเต๋อหัว - Andy Lau) ด้วยฝีมือการกำกับของผู้กำกับชาวฮ่องกง ที่เติบโตในประเทศไทยอย่าง ปีเตอร์ ชาน ผู้เปลี่ยนแนวจากหนังรักละเมียดละไมเรียกน้ำตา มาสู่หนังสงครามนองเลือดในเรื่องนี้
ผลงานการร่วมกันของทั้ง 3 ในปีนี้ เป็นเหมือนการรวมดาวของคู่แข่งที่จะฟาดฟันกันในปีหน้า เมื่อทั้ง 3 ต่างมีโปรแกรมยักษ์ใหญ่รอฉายในปี 2008 ด้วยกันทั้งหมด โดยเฉพาะผลงานการดัดแปลงวรรณกรรมคลาสสิกของจีนอย่าง สามก๊ก ที่ถูกนำมาขึ้นจอใหญ่ถึง 2 เรื่อง เริ่มจากฉบับของ หลิวเต๋อหัว ที่เขาจะแสดงคู่กับนางเอกสาวสวย แม็กกี คิว (Maggie Q) ในบท จูล่ง จากเรื่อง Three Kingdoms: Resurrection of the Dragon ผลงานกำกับของ แดเนียล ลี ส่วน ทาเคชิ คาเนชิโร ก็มีโปรเจ็คท์สามก๊กที่ใหญ่ไม่แพ้กัน ในฉบับของ จอห์น วู (John Woo) ตอน The Battle of Red Cliff ที่เขาต้องประชันบทอีกครั้งกับ เหลียงเฉาเหว่ย ในบท ขงเบ้ง ที่จะแบ่งฉายออกเป็น 2 ภาค ส่วน เจท ลี ก็มีทั้งงานที่ต้องเจอกับดาราแอ็คชั่นรุ่นพี่อย่าง เฉินหลง ในการดัดแปลง ไซอิ๋ว มาขึ้นจอใหญ่อย่าง The Forbidden Kingdom ที่เขาต้องรับบทเป็น เห้งเจีย และการกลับมาของมัมมี่ภาค 3 The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor ในการสวมบท จิ๋นซีฮ่องเต้ ประชันกับ แบรนดอน เฟรเซอร์ อีกด้วย
งานนี้โปรเจ็คท์ของใครจะเกิดจะดับคงต้องรอปีหน้า แต่ในตอนนี้ทั้ง 3 ได้มาร่วมกันฝากผลงานการแสดง ที่แสนท้าทายครั้งหนึ่งในชีวิตในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันเป็นครั้งแรก และทั้ง 3 ก็ได้มาเปิดใจถึงเบื้องหลัง และความรู้สึกถึงการร่วมงานในโปรเจ็คท์ที่แสนยิ่งใหญ่มูลค่ากว่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ครั้งนี้ ให้บรรดาสื่อมวลชนในเมืองไทยได้รับรู้กันเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล
เวลาบ่ายโมงผ่านไปเล็กน้อย ซูเปอร์สตาร์ทั้ง 3 ก็ปรากฏตัวในห้องแถลงข่าว นำโดยดาราจีนที่ค่าตัวแพงที่สุดจากเรื่องนี้ (13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) อย่าง เจ็ทลี ที่ยอมร้อนสวมเสื้อเหลืองทับชุดแขนยาวสีขาว เพื่อเอาใจชาวไทยโดยเฉพาะ ตามมาด้วยหลิวเต๋อหัว ที่มาในมาดสบายๆ ส่วนทาเคชิยังคงมาดเข้มในชุดดำเช่นเดิม ปิดท้ายด้วยปีเตอร์ ชาน ที่นอกจากมาในฐานะผู้กำกับของเรื่องแล้ว ยังมาทำหน้าที่เป็นล่ามจำเป็น สำหรับการเปิดใจครั้งนี้ด้วย ในการสนทนาที่เป็นการเป็นงาน และแฝงอารมณ์ขันของซูเปอร์สตาร์ทั้ง 4
1. (ปีเตอร์ ชาน) ก่อนหน้านี้คุณเคยประสบความสำเร็จกับหนังรักมาแล้วมากมาย ทั้ง เถียน มี มี่ และ Perhaps Love อะไรเป็นแรงบันดาลใจ ที่ทำให้คุณเปลี่ยนแนวการทำหนังครั้งนี้
ปีเตอร์: คือผมทำหนังรักมากว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้อายุก็มากขึ้น เรื่องความรักไม่ค่อยมีอะไรจะพูดถึงแล้ว เลยอยากจะลองหาอะไรใหม่ๆ ที่ท้าทายดูบ้าง แล้วมันก็ดูแปลกๆ ที่เป็นผู้กำกับฮ่องกงแล้วไม่ได้ทำหนังบู๊น่ะครับ(ฮา)
2.(เจ็ทลี)อะไรทำให้คุณตัดสินใจมารับเล่นเรื่องนี้
เจ็ทลี: เพราะว่าตัวผู้กำกับ(ปีเตอร์ ชาน)มีความกล้าที่จะเชิญผมไปเล่น และเนื้อเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สงครามฆ่าฟัน แต่เป็นเรื่องราวของวีรบุรุษ และมันก็เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่มากด้วย
3.(เจ็ทลี)ร่วมงานกับทาเคชิและหลิวเต๋อหัวรู้สึกอย่างไรบ้าง
เจ็ทลี: เป็นเกียรติอย่างมาก โดยเฉพาะกับปีเตอร์ ชานที่ผมรู้จักเขามาเป็นเวลา 20 ปีแล้วในวงการ แต่ยังไม่เคยร่วมงานด้วยกันเลย เวลา 4 เดือนในการถ่ายทำ ทำให้เราทั้งหมดผูกพันกันเหมือนพี่น้องจริงๆ
4.(หลิวเต๋อหัว) แล้วคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
หลิว:(เอามือเปิดไมค์ของตัวเอง แล้วไปปิดไมค์ของเจ็ทลีที่อยู่ข้างๆ เรียกเสียงฮาได้พอประมาณ) ผมกลัวเสียงฟีดแบ็คมันดังน่ะครับ ส่วนความรู้สึก ผมรู้สึกวิเศษอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับคนทั้งสอง กับทาเคชินี่เคยร่วมงานกันแล้วก็จริง จากเรื่อง House of Flying Daggers แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
5.(ทาเคชิ) ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาร่วมงานกับปีเตอร์ ชานอีกครั้ง
ทาเคชิ: เพราะผมชื่นชมในตัวของปีเตอร์ ชานอยู่แล้วครับ
ปีเตอร์: จริงๆ เขาไม่อยากมาหรอก เพราะเขารู้ว่าต้องมาลำบาก(ฮา) เขาเป็นพวกติดสบาย แล้วเรื่องนี้ต้องถ่ายกัน 4 เดือน รบกันตลอดเขาก็กลัว เขาบอกว่า 4 เดือนยาวไป แต่สุดท้ายก็ได้มาร่วมงานกัน
6.(ปีเตอร์ ชาน) ได้ร่วมงานกับทั้ง 3 คนรู้สึกยังไงบ้าง
ปีเตอร์: กับทาเคชินี่รู้จักกันดีจนเกือบจะเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว เสียอย่างเดียวติดสบายไปหน่อย (เผาไม่เลิก)
กับหลิวเต๋อหัวนี่คบกับมากว่า 20 ปีแล้วแต่ไม่เคยร่วมงานด้วยกันเลย จนกระทั้งวันหนึ่งได้ดู The Blood Brothers ฉบับเดวิด เจียง (ต้นตำรับ Bullet In The Head กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกะโหลก ของจอห์น วู) ด้วยกัน แล้วเกิดแรงบันดาลว่า อยากจะทำมารีเมคอีกครั้ง ผมจึงเอาบทมาร่างใหม่จนมาเป็น The Warlords
ส่วนเจท ลีนี่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย แต่บทที่ผมร่างออกมา ทั้งเรื่องความเป็นวีรบุรุษและการเสียสละของเขา ต้องให้นักแสดงอย่างเจ็ทลีถ่ายทอดเท่านั้น เพราะเขาเป็นนักแสดงจีนที่โด่งดังจนไปแจ้งเกิดที่ฮอลลีวูด แล้วตอนหลังก็กลับมาเล่นหนังฮ่องกง ซึ่งประสบการณ์อันมหาศาลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่บทนี้ต้องการมากๆ
7.ช่วยพูดถึงคาแร็กเตอร์ของแต่ละคนหน่อย
ทาเคชิ: ผมเล่นเป็นน้องเล็กที่นับถือพี่ชายคนหนึ่ง จนได้เจอกับพี่ชายอีกคน แล้วเปลี่ยนความภักดีไปที่เขาแทน มันเป็นเรื่องของการหักหลัง และการล้างแค้น
หลิว: ผมเล่นเป็นตัวละครที่ให้ความสำคัญกับความรักและชีวิตอย่างมาก
เจ็ทลี: ผมว่าพวกคุณไปดูกันเองดีกว่า (ฮา)
8. โปรดักชั่นเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ปีเตอร์: ผมอยากจะทำหนังสงครามจีน ที่ไม่เป็นหนังกำลังภายในแบบเก่าๆ ที่ต้องมีจอมยุทธบินไปบินมาสู้กับแบบตัวต่อตัว แต่เรื่องนี้การแสดงภาพของสงครามจริงๆ เป็นชีวิตของนักรบในสนามรบจริงๆ แต่ยังคงความงดงามให้เหมือนกับการสู้แบบกำลังภายในแบบดั้งเดิมอยู่ สมดุลตรงนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุด
เมื่อเทียบกับฉบับ The Blood Brothers จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง สิ่งที่ผมชอบก็คือการทำการสาบานของพี่น้องแบบจีนยุคโบราณ ที่ต้องให้พี่น้องไปฆ่าคนด้วยจึงจะสมบูรณ์ ซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนหนังแก๊งสเตอร์ยุคนี้ ที่ถ้าคุณต้องเข้าร่วมกลุ่มแล้ว คุณก็ต้องเป็นส่วนหนึ่งของการก่ออาชญากรรมโดยเลี่ยงไม่ได้
ความรู้สึกที่ผมต้องการสื่อถึงมัน เหมือนกับโหดเลวดีของจอห์น วู ที่เปิดตัวด้วยความสวยงามของการเป็นเจ้าพ่อ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้น เต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย
หลิว: แม้มันจะเป็นหนังสงครามที่ดุเดือด แต่ผมคิดว่าเป็นหนังที่ผู้หญิงควรจะไปดู เพราะจะได้เข้าใจโลกของผู้ชาย กับความรู้สึกที่บีบคั้นในสงคราม
9.(เจ็ทลี) ตอนไปเปิดตัวที่ปักกิ่ง คุณเคยบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ชาวต่างชาติ(ชาวตะวันตก)ดู แต่เป็นหนังที่ทำขึ้นเพื่อพี่น้องชาวจีน แล้วกับชาวไทยคุณคิดว่าอย่างไร
เจ็ทลี: หนังเรื่องนี้เป็นฝีมือของผู้กำกับที่เติบโตในแผ่นดินไทย และเป็นผู้ที่รวบรวมเราทั้ง 3 คนทั้งจากจีนแผ่นดินใหญ่, ไต้หวัน และฮ่องกงเข้าไว้จนสำเร็จ ผมคิดว่ามันมีเหตุผลมากพอ ที่คนไทยควรจะไปดู
10.(เจ็ทลี) ต้องเปลี่ยนมารับบทตัวโกง คุณต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
เจ็ทลี: ตัวละครของผมมีความซับซ้อน ไม่มีอะไรที่ขาวและดำอย่างชัดเจน
11.(เจ็ทลี) ได้ข่าวว่าคุณมีปัญหากับการพูดภาษาจีนในเรื่องนี้ มันเป็นอย่างไร
ปีเตอร์:(รีบชี้แจง) ผมไม่รู้ว่าเขาจะตอบยังไงน่ะ เพราะมันเป็นข่าวเลอะเทอะที่นักข่าวกุขึ้นมาเอง (แล้วก็แปลเป็นภาษาจีนให้เจ็ทลีฟัง)
เจ็ทลี: ก็ผมอ่านเป็นแต่หนังสือธรรมมะนี่ครับ (ฮา)
12.เล่นหนังโหดๆ อย่างนี้ซูเปอร์ทั้ง 3 เจ็บตัวกันบ้างไหม
หลิว: ถูกปีเตอร์ ชานด่าในกองบ่อย เจ็บใจมากกว่าครับ (ฮา)
ปีเตอร์: ไม่ค่อยมีอุบัติเหตุน่ะ แต่มีครั้งหนึ่งกับหลิวเต๋อหัวนี่แหล่ะ ที่เขาเคยตกม้า แต่เขาตัดสินใจกระโดดลงมาเอง เพราะว่าม้าตัวนั้นมันกำลังวิ่งเข้าไปในที่ๆ อันตราย คือถ้าเขาไม่ตัดสินใจโดดลงมาเองนี่ก็คงแย่เหมือนกัน
หลิว: มีฉากหนึ่งที่ผมต้องจับโซ่ แล้วตกลงมาหลายครั้ง แล้วก็ไม่ได้ป้องกันตัว เลยเจ็บสะโพกไปเหมือนกัน
ทาเคชิ: ผมตกรถ เจ็บตัวไปเล็กน้อย
ปีเตอร์: ที่มีเจ็บตัวเห็นจะเป็นสตันท์ เพราะดันทะเลาะกันเอง อย่างในฉากที่ใช้ดาบปลอม ก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง เลยกลายเป็นสงครามจริงๆ ขึ้นมา (ฮา)
13.วันนี้ซูจิงเล่ยไม่มา เลยอยากจะถามผู้กำกับว่า ทำไมถึงเลือกเธอมาเป็นนางเอกของเรื่องนี้
ปีเตอร์: ปกตินางเอกหนังจีนโบราณถ้าไม่สวยมาก ก็ต้องเซ็กซี่มากๆ แต่ผมอยากจะฉีกแนวออกไป ไม่อยากได้คนที่เซ็กซี่เกินไป อยากได้แบบสาวชาวบ้านๆ ที่สมจริง ซึ่งตัวซูจิงเล่ยเขาเป็นนางเอกที่คนดูจะรู้สึกค่อยๆ สัมผัสถึงความดึงดูดขึ้นเรื่อยๆ ที่ดูเธอ และเธอก็เป็นทั้งนักแสดงที่มีความสามารถ กำกับหนังได้ เขียนหนังสือเก่ง เว็บบล็อกของเธอเคยครองสถิติมีคนอ่านมากที่สุดในโลกมาแล้วด้วย ความสามารถของเธอเหมาะสมกับบทมากๆ
14. ทุนสร้างถึง 40 ล้านเหรียญ ทำไมถึงถ่ายทำที่ประเทศจีนแห่งเดียว แล้วทำไมถึงเลือกประเทศไทยในการทำ Post Production
ปีเตอร์: เพราะเรื่องราวเกิดในประเทศจีน และมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาก ถ้าไปถ่ายทำที่ฮอลลีวูดต้องเกิน 100 ล้านเหรียญแน่ๆ และทีมงานชาวจีนก็ค่อยๆ เรียนรู้งานของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาเหมือนๆ กันทุกที่ ส่วนการมาทำ Post Production ที่เมืองไทย เพราะว่าที่นี่มีความพร้อมทุกอย่าง เป็นที่ๆ เหมาะกับการทำ Post Production มากๆ
15.(เจ็ทลี) ทำไมวันนี้คุณใส่เสื้อเหลือง (ปรมมือดังลั่น)
เจ็ทลี: ผมทราบข่าวว่า ช่วงนี้ในหลวงของชาวไทยเพิ่งฟื้นจากอาการประชวร และที่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อช่วยเหลืองานในมูลนิธิ The One Foundation ของผม ที่จะช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสในประเทศไทยด้วย ผมจึงขอให้โอกาสนี้ขอถวายพระพร ให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน (ปรมมือดังลั่น)
16.ทั้ง 3 คนได้อะไรใหม่ๆ จากร่วมงานในครั้งนี้บ้าง
เจ็ทลี: เป็นบทบาทที่ผมไม่เคยแสดงมาก่อน แม้จะมีหน้าหนังที่รุนแรง แต่หัวใจสำคัญของเรื่อง เป็นหนังที่ต่อต้านการก่อสงคราม หนังจีนทั่วไปมักจะแสดงภาพสงครามด้วยความสวยงาม แต่เรื่องนี้จะแสดงให้เห็นถึงด้านที่มีความโหดร้าย ในสภาพบีบคั้นอย่างนั้นคนเราสามารถฆ่ากันได้เพื่อหมั่นโถเพียงชิ้นเดียว อีกมุมหนึ่งเราจะได้เรียนรู้เรื่องจากเอื้ออาทรของเพื่อมนุษย์ด้วยกันด้วย
หลิว: เรื่องนี้ได้สอนให้รู้ว่า บางครั้งคนที่เราเรียกว่าเพื่อน ก็กลายเป็นคนที่ทรยศเราได้เจ็บแสบที่สุด และสอนให้เราต่อต้านการกระทำที่โหดร้ายทารุณต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทาเคชิ: ตอนรับเล่นไม่รู้ว่าจะมีใครมารับบทอะไรบ้าง เลยต้องศึกษาจากต้นฉบับ The Blood Brothers มาก่อน ก่อนที่จะได้รู้ว่า ได้สองคนนี้มาเล่น ผมได้ศึกษามากมายจากรุ่นพี่ทั้งสอง ทั้งเรื่องการทำความเข้าใจกับบท และเป็นสิ่งวิเศษที่ได้ร่วมงานกับปีเตอร์ ชานอีกครั้ง
17.ฉากไหนที่ท้าทายที่สุด
ทาเคชิ: ฉากที่ต้องแสดงความโหดร้าย และแสดงความรู้สึกที่ต้องเค้นออกมาจากภายใน ซึ่งผมต้องประสานมันออกมาให้สมจริงให้ได้
ปีเตอร์: ทุกคนที่แสดงต้องเค้นอารมณ์กันมาก บางฉากที่ไม่มีสคริปท์ว่าต้องร้องไห้ ก็เล่นกันจนได้น้ำตา เป็นหนังที่เข้มข้นที่สุดที่ผมเคยทำมา นึกดูว่าในช่วงนั้นคนจีนมีแค่ 200 ล้านคน แต่ในช่วงสงคราม 14 ปีมีคนจีนตายไป 70 ล้านคน มากพอๆ กับจำนวนคนที่ตายในสงครามโลกรวมกันทั้งหมดทีเดียว สถานการณ์มันเหมือนกับในอัฟกานิสถานในยุคนี้ คนฆ่าคนเพียงเพื่ออาหารประทังชีวิต
นักแสดงทุกคนเข้ากับบทได้เร็วมากๆ ในเรื่องนี้มีฉากที่ หลิวเต๋อหัว ต้องร้องไห้แบบสะเทือนอารมณ์สุดๆ ถึง 2 ฉาก ที่กินใจจนทีมงานไม่กล้าสั่งคัทเลย
การถ่ายทำเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ คือถ่ายทำตามเหตุการณ์ในภาพยนตร์เลย จนต้องมีการเปลี่ยนแปลงบทกันทุกวัน และเป็นการเปลี่ยนแปลงบทระหว่างถ่ายทำที่บ่อยที่สุดตั้งแต่ผมทำหนังมา และทีมงานทุกคนก็ช่วยกันคิดว่าจะเรื่องราวจะไปทางไหนต่อไป เป็นเรื่องที่ทุกคนมีส่วนร่วมกันอย่างมาก
สุดท้ายทั้ง 4 ก็มายืนเป็นแบบให้ช่างภาพถ่ายรูปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนที่พวกเขาจะเตรียมตัวเดินทางเพื่อไปรอบปฐมทัศน์ในเมืองไทยตอนช่วงเย็นวันนั้นต่อไป
Manager Online