เจินจื่อตัน (Donnie Yen): กับวันที่ก้าวพ้นเงา “เฉินหลง” (Jackie Chan), “เจ็ท ลี” (Jet Li)

นับเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ “เจินจื่อตัน” (Donnie Yen) ต้องตกอยู่ใต้ร่มเงาของนักแสดงกังฟูรุ่นพี่อย่าง “เฉินหลง” (Jackie Chan) หรือรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง “หลี่เหลียนเจี๋ย” (Jet Li) เขาต้องรับบทรองในหนังของสองซุปเปอร์สตาร์ หรือไม่ก็เป็นดารานำในงานฟอร์มเล็กที่แทบไม่มีใครจดจำได้ แต่ตอนนี้ชื่อของนักแสดงวัย 47 ปี ได้กลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับทั้งผู้สร้างภาพยนตร์ชาวจีน และแฟนหนัง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหมายเลขหนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว

20 ปี ในวงการ ก่อนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

เจินจื่อตัน เกิดเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 1963 ที่ กวางโจว ประเทศจีน ต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอาศัยอยู่ในฮ่องกงตั้งแต่เขายังเด็ก ก่อนจะย้ายบ้านอีกครั้ง โดยมีบอสตัน สหรัฐอเมริกา เป็นจุดหมายปลายทาง

นักแสดงแอ็กชั่นชื่อดังเติบโตและใช้ชีวิตช่วงเด็กจนถึงวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกา ถูกเลี้ยงดูมาโดยบิดาผู้ประกอบอาชีพนักหนังสือพิมพ์ และมารดาที่ฝึกมวยไทเก๊กให้กับเขาตั้งแต่อายุแค่ 4 ขวบ และเจินจื่อตัน ยังฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวอีกหลายแขนงตลอดการใช้ชีวิตในต่างประเทศ ในเวลาเดียวกันยังมีฝีมือทางเปียโน และเป็นนักเต้นเบรคแดนซ์อย่างที่เด็ก ๆ ในโลกตะวันตกหลายคนนิยมกัน แน่นอนว่าการเป็นเด็กจีนในสังคมตะวันตก ทำให้เขาเป็นแฟนตัวยงของหนังกังฟู ที่ฉายตามโรงหนังชั้นสอง และมี บรูซ ลี เป็นวีระบุรุษในดวงใจ

หลังใช้ชีวิตในบอสตันอยู่หลายปี พ่อและแม่เริ่มกังวลว่า เจินจื่อตัน ในวัยไม่ถึง 20 ปี อาจซึมซับความเป็นตะวันตกมากเกินไป จึงส่งลูกชายคนนี้กลับไปใช้ชีวิตที่เมืองจีน เพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนกังฟู Beijing Wushu Team อยู่สองปี เขาเป็นนักเรียนที่โดดเด่นคนหนึ่ง แต่การเติบโตมาในอเมริกา ก็สร้างปัญหาขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว ในช่วงหนึ่งถึงกับมีปัญหากับครูฝึก ที่รู้สึกว่าทรงผม 'Mullet' (หน้าสั้นข้างสั้นแต่ด้านหลังปล่อยยาว) แบบวัยรุ่นยุค 80 ของหนุ่มน้อยจากบอสตันรายนี้ ดูจะไม่เหมาะสมกับการฝึกกังฟูเท่าไหร่

ภายหลังเมื่อถึงกำหนดเวลาต้องเดินทางกลับ เจินจื่อตัน ได้แวะไปที่ฮ่องกง และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อเขาได้พบกับผู้กำกับคิวบู๊ชื่อดังนาม หยวนวูปิง ที่เป็นทั้งอาจารย์, เจ้านาย และเพื่อนร่วมงานกันไปอีกหลายปีหลังจากนั้น

เจินจื่อตัน เข้าเป็นหนึ่งในทีมงานของหยวนวูปิง เริ่มต้นจากงานสตั้นแมน และได้รับบทเด่นในหนังครั้งแรกเมื่อปี 1984 กับภาพยนตร์เรื่อง Drunken Tai Chi จากนั้นจึงมีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่อง ทั้งบทรอง และบทนำในงานส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเพียงหนังฟอร์มเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่อะไรนัก

บางครั้งเขายังต้องแสดงในหนังทุนต่ำ ซึ่งภายหลังเจ้าตัวยอมรับว่า ไม่ใช่งานที่สามารถภูมิอกภูมิใจอะไรได้เลย นอกจากนั้นพระเอกคนดังยังเดินทางไปทำงานทั่วโลก ทั้งใน ญีปุ่น, สหรัฐฯ หรือเยอรมัน เคยกระทั่งกำกับคิวบู๊ให้กับวิดีโอเกมยอดฮิตที่ชื่อว่า Onimusha ภาค 3 มาแล้ว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจินจื่อตัน ยังคงไม่ทิ้งงานเบื้องหลัง อย่างการออกแบบฉากต่อสู้และคิวบู๊ ให้กับทั้งหนังที่ตนเองแสดง และรับหน้าที่ผู้กำกับคิวบู๊ในงานของผู้อื่น เป็นการทำงานอย่างหนัก และต้องรอยคอยอยู่นับ 10 ปี กว่าเขาจะเป็นที่รู้จักในหมู่แฟนหนังอย่างแท้จริงเหมือนในปัจจุบัน

เส้นทางซุปเปอร์สตาร์

จุดเริ่มต้นแห่งความเป็นซุปเปอร์สตาร์ของ เจินจื่อตัน เกิดขึ้นหลังจากเขารับบทเป็น ยิปมัน (Ip Man) ปรมาจารย์กังฟูผู้ถ่ายทอดวิชาหย่งชุนให้กับ บรูซ ลี ในหนังเรื่อง Ip Man เมื่อปี 2007 จนกลายเป็นหนังยอดฮิต และมีภาคต่อตามออกมาในสองปีให้หลัง Ip Man 2 ทำเงินในประเทศจีนไปถึง 227 ล้านหยวน เรียกว่าในช่วงที่ฉาย หนังของเขาเป็นรองเพียงหนังดังจากฮอลลีวูดอย่าง Avatar เท่านั้น และยังเอาชนะงานฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวูด อาทิ Iron Man 2 และ Clash of the Titans ได้อีกด้วย

ในการให้สัมภาษณ์กับเอพี เจินจื่อตัน กล่าวว่าชาวจีนเริ่มเบื่อหน่ายกับวีระบุรุษในหนังแบบที่ บรูซ ลี, หลี่เหลียนเจี๋ย หรือเฉินหลงเป็น ซึ่งอาจารย์ยิปมันถือเป็นด้านตรงกันข้ามกับบทบาทของนักแสดงเหล่านั้น.... "เขาก็เหมือนกับเพื่อนของคุณคนหนึ่ง เพื่อนบ้านผู้เป็นมิตร"

"สิ่งที่คนต้องการเห็นก็คือ ใครสักคนที่ดูใกล้ชิดกับเรา เป็นใครสักคนที่รักครอบครัว อาจจะเป็นคนกลัวเมียด้วยซ้ำไป ดูเหมือนคนหัวอ่อนคนหนึ่ง เราสร้างตัวละครแบบนี้ขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันเขายังเป็นเอกเรื่องกังฟู มีพลังที่สามารถปกป้องครอบครัว และผู้คนได้มากมาย" นักแสดงหนุ่มคนดังกล่าวถึงบทอาจารย์ยิป ที่ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อย แต่ซ่อนวิชามวยอันร้ายกาจเอาไว้

นักวิชาการภาพยนตร์ผู้คร่ำหวอดกับภาพยนตร์จีนและฮ่องกงมากว่า 40 ปี เดวิด บอร์ดเวลล์ กล่าวว่า ความรุ่งโรจน์ในอาชีพของนักแสดงหนุ่มรายนี้เกิดขึ้นเพราะเขาไม่ได้มี 'รัศมีดาราเปล่งประกาย' เหมือนกับดาราคนอื่น ๆ แต่ดูเหมือนคนเดินถนนคนหนึ่ง "เขาไม่ได้ดูเป็นพวกอารมณ์ร้อน จุดเดือดต่ำแบบ บรูซ ลี ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นดาวตลกที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบเฉินหลง กับหงจินเป่า" ผู้เชี่ยวชาญหนังฮ่องกงรายนี้แสดงความเห็น

บอร์ดเวลล์ สรุปว่า Ip Man เป็นก้าวสำคัญของนักแสดงแอ็กชั่นอย่าง เจินจื่อตัน เพราะบทบาทปรมาจารย์หมัดหย่งชุนไม่เพียงเรียกร้องทักษะทางการแสดงบทบู๊ แต่ยังมอบโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถทางการแสดง ในการเล่าเรื่องของชายหนุ่มธรรมดาเดินดินคนหนึ่ง ที่ต้องกลายเป็นนักสู้ผู้มีหน้าที่ปกป้องเกียรติยศของชนชาติจีน

"ดอนนี่สามารถสวมบทบาทได้มากมาย เพราะเขาไม่เพียงเป็นนักแสดงแอ็กชั่นแถวหน้า แต่ยังเป็นนักแสดงที่สวมบทบาทได้หลากหลาย มากกว่าจะยึดติดกับภาพพจน์วีระบุรุษเพียงอย่างเดียว" นักวิชาการแห่ง University of Wisconsin รายนี้ให้ความเห็นถึงนักแสดงแอ็กชั่นอย่าง เจินจื่อตัน ที่เคยสวมบทบาทมาแล้วทั้ง บทมือกระบี่ผู้เดียวดาย, ขันทีจอมโฉด, สุนัขรับใช้ราชวงศ์ชิง และอื่น ๆ อีกมากมายตลอดอาชีพนักแสดง

อนาคตของเจินจื่อตัน อนาคตของวงการหนังจีน

Legend of the Fist: The Return of Chen Zhen ผลงานเรื่องล่าสุดที่ เจินจื่อตัน ได้ย้อนรอยแสดงในบทบาทที่ หลี่เหลียนเจี๋ย และบรูซ ลี เคยสวมบทบาทมาแล้ว เพิ่งเข้าโรงฉายในหลาย ๆ ประเทศทั่วเอเชีย ซึ่งก่อนหน้านี้ยังได้รับเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองเวนิส และยังเป็นหนังเรื่องที่ 3 ของเขาในปีนี้แล้ว

ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เจินจื่อตัน มีผลงานถึง 8 เรื่องเข้าไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เพราะนอกจากแสดงนำแล้ว เขายังรับหน้าที่กำกับคิวบู๊ในหนังเกือบทุกเรื่องของตนเอง ถึงกระนั้นดาวบู๊วัย 47 ปี ไม่ได้คิดว่าตนเองจะต้องชะลอตัว หรือรับงานให้น้อยลงแต่อย่างใด หลังกลับไปรับบท เฉินเจิน ใน Legend of the Fist นักแสดงหนุ่มคนดังยังจะสวมบทบาทเป็น กวนอูในหนังเรื่อง The Lost Bladesman, เป็น เห้งเจีย ในไซอิ๋วเวอร์ชั่น 3-D The Monkey King และรับบทเด่นในผลงานกำลังภายในเรื่องใหม่ของผู้กำกับดัง ปีเตอร์ ชาน ที่มีกำหนดเข้าฉายในปีหน้า

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากหนังเรื่อง Ip Man ทั้งสองภาค ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน พระเอกนักบู๊ค่อย ๆ สร้างชื่อเสียงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะใน SPL และ Flash Point หนังแอ็กชั่นสุดดุเดือนที่เขา และผู้กำกับคู่ใจ วิลสัน ยิป ช่วยกันสร้างสรรค์ขึ้น จนเขาแทบจะกลายเป็นนักแสดงบู๊ที่โดดเด่นที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ได้รับรางวัลเกี่ยวข้องกับการออกแบบคิวบู๊ถึง 7 รางวัลในเวทีสำคัญ ๆ ทั้งในฮ่องกง, จีน และระดับโลกกับการคว้ารางวัล Taurus Award เมื่อ 3 ปีก่อนกับ Flash Point

"ผมอยากจะหาแนวทางใหม่ ๆ ให้กับหนังกังฟู และหนังแอ็กชั่นต่อไป" เจินจื่อตัน กล่าวถึงความท้าทาย ทั้งในฐานะนักแสดง และคนทำหนังของเขา ที่ต้องการผสมฉากต่อสู้อันน่าทึ่ง เข้ากับเนื้อเรื่องอันมีเนื้อหาจับต้องได้ "ตอนนี้เพียงคิวบู๊ที่สดใหม่, เหี้ยมเกรียม และรุนแรง ไม่ใช่สิ่งที่คนดูต้องการอีกต่อไป พวกเขาต้องการอารมณ์และความรู้สึกด้วย ถ้าการสร้างเรื่องราวล้มเหลว มันก็ไม่สำคัญอีกแล้วว่าฉากต่อสู้จะน่าตื่นเต้นแค่ไหน มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว"

นอกจากนั้นดาวบู๊ผู้เคยข้ามไปรับงานในต่างประเทศมาแล้ว กับการออกแบบฉากแอ็กชั่น และแสดงบทสมทบในหนังอย่าง Highlander: Endgame, Blade II และ Shanghai Knights ยังแสดงเจตจำนงว่าเขาไม่มีความสนใจ กับการดิ้นรนสู่การเป็นนักแสดงฮอลลีวูดแต่อย่างใด ความปรารถนาในอาชีพเพียงประการเดียวในขณะนี้ก็คือ งานในวงการภาพยนตร์จีน ที่นับวันเม็ดเงินจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเขามองว่านี่คือ 'โอกาสทอง'

"สำหรับนักแสดงและคนทำหนังภาษาจีนแล้ว มันน่าทึ่งมาก ที่ตลาดหนังจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาไปเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนตลาดต่างประเทศไม่สามารถเทียบเคียงกับโอกาสในการสร้างสรรค์งานอย่างที่นี่มอบให้ได้เลย"

"ผมคิดว่าตนเองยังสามารถมีอิทธิพลต่องานออกแบบฉากบู๊ และทำให้งานสายนี้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ผมยังมีไอเดียอีกเป็นตันเลย" เจินจื่อตันกล่าว "คุณจะไม่เห็นผมในหนังประเภทอื่น ๆ แน่ คงไม่มีนายทุนคนไหนให้เงินผมเพื่อแสดงหนังแนวอื่น เพราะคนดูคงไม่อยากเห็นผมในบทบาทแบบนั้น"

ในวัย 47 ปี มีข่าวเรื่องการเกษียณตัวของเขาออกมาอยู่บ้าง เจินจื่อตัน ที่ปัจจุบันมีลูกสาวลูกชายจากภรรยาอดีตมิสไชนิส โตรอนโต้ ซึ่งเข้าประตูวิวาห์กันไปเมื่อปี 2003 เปรยว่าเขาคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะในฐานะดาราแอ็กชั่น ความสมบูรณ์แบบของร่างกายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ แต่ตอนนี้เจ้าตัวยังยืนยันว่าการหันหลังให้กับวงการคงไม่ได้เกิดขึ้นภายในอนาคตอันใกล้นี้แน่ ๆ “ผมคงยังจะไม่ถอนตัวจากวงการภายในปีนี้ ปีหน้า หรือตอนอายุ 50 ปี อย่างที่เป็นข่าวแน่นอนครับ”

Manager Online