ตำนานแห่งความเสื่อม "จับคนมาทำเชื้อโรค"
“จับคนมาทำเชื้อโรค” เป็นชื่อภาพยนตร์ที่ยากจะลืมเลือนลง ยิ่งถ้าใครได้ผ่านตาหนังเรื่องนี้มาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หนังเลยจุดของความโหด ความเหี้ยม ไปเยอะ ภาพคนถูกทำร้าย ให้ทนทุกทรมานด้วยนานาวิธีสุดแต่จะสรรค์หามาได้ สร้างคำถามอย่างมากมาย จนกลายเป็นหนังที่กลายเป็นตำนานบทหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์หนังเอเชีย
เมื่อประมาณ 20 ที่แล้วโดยประมาณ เมื่อมีหนังเชื่อน่าสะพรึงกลัวที่ชื่อว่า ‘จับคนมาทำเชื้อโรค’ เข้ามาฉายในเมืองไทย เป็นหนังประเภทท้าทายความกล้าของคนดู ประเภทเดียวกันหนังอีกเรื่องที่ชื่อว่า ‘แอบดูเป็นแอบดูตาย’ ใครๆโดยเฉพาะเหล่าเด็กนักเรียนมัธยม ที่ได้ไปผ่านประสบการณ์สุดสยองขวัญในโรงภาพยนตร์มาแล้ว ก็อาจกลายเป็นวีรบุรุษในหมู่เพื่อน ที่สามารถอวดอ้างถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่เพียงคนดูเท่านั้น การจะสร้างหนังประเภทนี้ขึ้นมาได้ ผู้สร้างก็ต้องอาศัยความกล้าหาญแบบแสนสาหัสเช่นเดียวกัน
ชื่อ โหมวตุนเฟย นั้นผูกขาดอยู่กับ ความเป็นคนทำหนังสุดขั้วมาตลอดชีวิตการทำหนัง หากินอยู่กับการขายความโหดเหี้ยมทารุณ หรือไม่ก็ฉากโป๊เปลือย อันหวุดหวิดจะเป็นความอุจาดตาลามกอนาจาร มาตลอดชีวิตการทำหนัง อย่างไรก็ตามเขาก็สมควรได้รับการพูดถึงเช่นกัน ในฐานะคนทำหนังที่พูดเรื่องการเมืองแบบเต็มเสียง
จับคนมาทำเชื้อโรค อาจจะเป็นจุดสูงสุดในการทำงานของนักทำหนังท่านนี้ แต่ถ้าเจาะไปให้ละเอียดในเส้นทางการทำงานจะพบว่า ผู้กำกับท่านนี้ทำแบบนี้มาทั้งชีวิต ไม่เคยประนีประนอมกับใคร จับคนมาทำเชื้อโรคไม่ได้ให้ความชอบธรรมแก่ใคร มันฉายภาพความตกต่ำของมนุษย์ทั้งฝ่ายกระทำที่เลวเยี่ยงสัตว์ และฝ่ายถูกกระทำ ไม่ว่าใครจะมองผลงานของผลงานชิ้นนี้อย่างต้อยต่ำ และดูถูกดูแคลนแค่ไหน เขายังมั่นใจในงานของตัวเอง ที่ถ้ามองให้ทะลุภาพอันรุนแรง เนื้อเรื่องอันบีบคั้นแล้ว งานทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่พูดถึงการเมือง และประวัติศาสตร์ ที่ให้มุมมองที่ไม่ใช่เรื่องสูงส่ง แต่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
โหมวตุนเฟย จากแผ่นดินใหญ่ สู่ไต้หวัน ถึงฮ่องกง